หลังเก็บตัวเงียบเชียบมาพักใหญ่ ในที่สุดยักษ์ "ไมโคร ซอฟท์" ก็กลับมาอีกครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์เด่นที่งานถนัดที่สุดอย่างการพัฒนาระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ "วินโดวส์ 8" ซึ่งนอกจากจะอัพเดตเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ ๆ อีกเพียบแล้ว ยังวางแผนให้ระบบปฏิบัติการตัวเดียวกันนี้ใช้งานได้บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิด ไล่ตั้งแต่คอมพิวเตอร์พีซีไปจนถึงแท็บเลต ทั้งหวังพึ่งพานักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระให้ช่วยพัฒนา ด้วยการแจกวินโดวส์ 8 เวอร์ชั่นต้นแบบให้ได้สัมผัสแลกกับการแสดงความคิดความเห็นต่อซอฟต์แวร์ดังกล่าว
งานนี้เรียกได้ว่าไมโครซอฟท์ทุ่มสุดตัวเพื่อกลับมาผงาดในยุทธจักรอีกครั้ง
"วอลล์สตรีต เจอร์นัล" รายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการเรือธงตัวใหม่ "วินโดวส์ 8" ในงานสัมมนาสำหรับนักพัฒนา BUILD ซึ่ง จัดขึ้นตลอดอาทิตย์ที่แคลิฟอร์เนีย โดย "สตีเฟ่น ซินอฟสกี้" ประธาน ส่วนธุรกิจวินโดวส์และวินโดวส์ ไลฟ์ "ไมโครซอฟท์" ได้พูดถึงวินโดวส์ตัวใหม่นี้ถึงขนาดว่า ถือการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และสัมผัสในการใช้งานมากที่สุด นับตั้งแต่ไมโครซอฟท์เปิดตัววินโดวส์ 95 เมื่อ 16 ปีก่อนเลยทีเดียว
"วินโดวส์ 8 จะมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะใช้งานบนคอมพิวเตอร์พีซีทั่วไป รวมไปถึงแท็บเลตด้วย ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ได้รับการออกแบบให้ผู้ใช้ควบคุมสั่งการด้วยวิธีการกดบนหน้าจอสัมผัส หรือใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอได้ ซึ่งเป็นลักษณะการใช้งานแบบเดียวกับสมาร์ทโฟนและแท็บเลต ทั้งออกแบบให้รองรับการใช้แอปพลิเคชั่นหลายตัวพร้อมกัน และอนุญาตให้ผู้ใช้เชื่อมไฟล์ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ใช้วินโดวส์ 8 แบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ เช่น ใช้กล้องถ่ายรูปบนแท็บเลตถ่ายภาพและโอนไฟล์มายังคอมพิวเตอร์"
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังวางแผนกระตุ้นให้บรรดานักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระเข้ามาเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 โดยให้บรรดานักพัฒนาช่วยประเมินด้วยว่า ระบบปฏิบัติการตัวนี้จะตีตลาดได้ดีแค่ไหน โดย "ไมโครซอฟท์" ประกาศว่า จะแจกแท็บเลตแบรนด์ซัมซุงที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 เวอร์ชั่นทดสอบ ให้นักพัฒนา 5,000 คน ที่เข้าร่วมงานนี้ให้ได้ทดลองใช้
"ไมโครซอฟท์" ยังได้จัดคอร์สฝึกอบรมให้นักพัฒนาที่สนใจศึกษาวิธีการสร้างโปรแกรมแอปพลิเคชั่นบนวินโดวส์ 8 และสำหรับใครที่ไม่ได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ก็สามารถดาวน์โหลดวินโดวส์ 8 เวอร์ชั่นต้นแบบมาลองใช้ได้เอง จากเว็บไซต์ dev.windows.com ตั้งแต่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา
"สตีเฟ่น" กล่าวในงาน BUILD ว่า "ผลิตภัณฑ์ที่พวกคุณได้เห็นในตอนนี้เป็นเวอร์ชั่นทดสอบ ดังนั้นคุณจึงจะพบกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง และคงมีปัญหาอื่น ๆ ให้เห็นต่อจากนี้อีกแน่นอน ซึ่งระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 จะมีการปรับแต่งใหม่จากความช่วยเหลือของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยแสดงความเห็นกลับมา"
ด้าน "อันตวน เลอบลอนด์" รองประธานอาวุโสของไมโครซอฟท์ พูด ถึง "แอปสโตร์" ใหม่ด้วยว่า บริษัท เตรียมข้อมูลรายละเอียดไว้ให้นักพัฒนาทราบเสมอว่ากระบวนการอนุมัติให้ทำแอปพลิเคชั่นของไมโครซอฟท์ไปถึงขั้นไหน เนื่องจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์มัก มีปัญหากับขั้นตอนการขอพัฒนา แอปพลิเคชั่นของแอปเปิลที่มักล่าช้าและไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลใด ๆ ได้เลย
สำหรับกำหนดวางตลาดของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 และอุปกรณ์ที่จะใช้กับระบบปฏิบัติการตัวนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผย "สตีเฟ่น" กล่าวแต่เพียงว่าทีมงานได้รับการตั้งเป้าให้พัฒนาคุณภาพระบบปฏิบัติการดังกล่าวออกมาอย่างดีที่สุด แทนที่จะกำหนดว่า ต้องทำให้เสร็จภายในเวลาใด
อย่างไรก็ตาม หากคำนวณจากข้อมูลที่ "ไมโครซอฟท์" เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า มีกำหนดการออกระบบปฏิบัติการใหม่ทุก 3 ปี แสดงว่าระบบปฏิบัติการใหม่นี้มีโอกาสจะถึงมือผู้บริโภคในช่วงเดือน ก.ย. พ.ย.ปี 2555
"นักวิเคราะห์" มองว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 เปรียบได้กับกลยุทธ์ตอบโต้ของไมโครซอฟท์สำหรับสู้กับ บริษัทไอทีรายใหญ่รายอื่น ๆ เนื่องจากปัจจุบันไมโครซอฟท์เสียส่วนแบ่งการตลาดไปมากให้ "ไอแพด" ของแอปเปิล ที่เป็นเหมือนตัวจุดกระแสมีเดียแท็บเลตในขณะนี้ รวมถึงแท็บเลตที่รองรับ "แอนดรอยด์" หลากหลายยี่ห้อ
อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ต้องรออีกอย่างน้อย 1 ปีกว่าจะเริ่มดำเนินการ ซึ่งนั่นทำให้ทั้งแอปเปิลและกูเกิลมีเวลาเกินพอที่จะวางแผนตั้งรับไมโครซอฟท์เพื่อรักษาตำแหน่งของตนเอง
หันมาดูคุณสมบัติหลัก ๆ ของ วินโดวส์ 8 เท่าที่มีการเปิดเผยข้อมูลมีดังนี้ 1.แอปพลิเคชั่นบนวินโดวส์ 7 จะทำงานได้บนวินโดวส์ 8 2.คำเตือนด้านการอัพเดต ระบบรักษาความปลอดภัยจะปรากฏที่ด้านขวาล่างบนหน้าจอล็อกอิน 3.ฟังก์ชั่นใหม่ "รีเซต แอนด์ รีเฟรช พีซี" ช่วยให้ระบบล้าง และเรียกคืนการตั้งค่าเดิมได้ง่ายขึ้น 4.ระบบควบคุมแบบมัลติทัช รองรับการใช้อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ 10
5.เพิ่มฟังก์ชั่นการปรับแต่งหน้าจอเดสก์ทอป 6.ตั้งค่าให้ผู้ใช้เชื่อมต่อวินโดวส์ 8 จากอุปกรณ์หลาย ๆ แบบได้ 7.โน้ตบุ๊กที่ใช้หน่วยประมวลผลอะตอมเวอร์ชั่นแรกและมีแรมเพียง 1 จิกะไบต์ก็ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ได้ 8.การล็อกอินทำด้วยระบบตรวจสอบด้วยภาพ 9.มาพร้อมแอนตี้ไวรัสของตนเอง และ 10.วินโดวส์ 8 สำหรับใช้บนแท็บเลต เป็นต้น
สำหรับวินโดวส์ 7 "ไมโครซอฟท์" เปิดเผยว่า จำหน่ายไปได้ทั้งหมด 450 ล้านไลเซนส์แล้ว ขณะที่ยอดขายไอแพดของแอปเปิลทั่วโลกอยู่ที่ 28 ล้านเครื่องโดยประมาณ
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
สุดเจ๋ง!! ไมโครซอฟท์โชว์ วินโดว์ 8 ใช้เวลาเปิดเครื่องไม่ถึง 10 วินาที
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้สาธิตการทำงานของวินโดว์ 8 ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ที่แสดงให้เห็นถึงความเร็วในการบู๊ตเครื่องขึ้นทำงานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์ในการใช้งานกับผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ในการนี้ ไมโครซอฟท์ เปิดเผยว่า ระบบปฏิบัติการวินโดว์ 8 จะใช้การทำงานร่วมกันของรูทีนบูท, Shutdown และไฮเบอร์เนต กับเซสชั่นของแกนหลักในการทำงานของวินโดว์ 8 ทั้งนี้ ยังมีข้อได้เปรียบที่เกิดจากการทำงานของโพรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ ที่พบได้ในพีซี ผลลัพธ์ก็คือ เวลาเปิดเครื่องสั้นลงจนเหลือเพียงไม่กี่วินาที ทั้งนี้ฝายวิจัยของไมโครซอฟท์ ยังระบุว่า ผู้ใช้เดสก์ทอป 57% และโน้ตบุ๊ค 45% พอใจที่จะชัตดาวน์ และรีบู๊ตเครื่องมากกว่าใช้โหมดพักเครื่อง โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใช้ต้องการประหยัดแบตเตอรี่ และต้องการให้เครื่องเริ่มต้นทำงานใหม่ เพื่อทำให้ระบบมีความพร้อมทำงานมากกว่า จึงเป็นเหตุผลให้ไมโครซอฟท์ เพิ่มขีดความสามารถในการเกิดเครื่องและชัตดาวน์ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ เวลาในการบู๊ตเครื่องที่สั้นลงนี้ จะใช้ได้ดีทั้งกับสตอเรจที่เป็น HDD และ SSD
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
สุดยอด!!! เน็ตบุ๊ก-แท็บเล็ต"สองจอ"
กองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ยังคงเกาะติดเทคโนโลยีเด็ดๆ ในงาน CEATEC อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่คุณผู้อ่านหลายท่านได้ตื่นตะลึงกับ Spacebook โน้ตบุ๊กสองจอของ gScreen ไปแล้ว ล่าสุดในงานนี้ Kohjinsha ได้นำต้นแบบเน็ตบุ๊กรุ่นใหม่มาโชว์ โดยจุดเด่นของมันก็คือมี"สองจอ"ด้วยเหมือนกัน อะไรจะไฮโซฯขนาดนั้น
บูธ Kohjinsha ในงาน CEATEC ได้สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมไม่น้อยด้วยการแสดงต้นแบบ"เน็ตบุ๊ก"ไฮโซฯที่มาพร้อม กับหน้าจอ LCD ขนาด 10.1 นิ้ว (ความละเอียด 1024 x 600 หรือ 1366 x 768) ถึง 2 จอด้วยกัน โดยสามารถเลื่อนทับกันได้สนิท ในกรณีที่ต้องการใช้งานแค่จอเดียว แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่แค่เน็ตบุ๊กที่มีสองจอเท่านั้นนะค่ะ เพราะจากในรูปสังเกตได้ว่า บริเวณด้านล่างของจอกับคีย์บอร์ดจะมีกลไกที่ทำให้สามารถหมุนจอได้เพื่อใช้งานเป็น"แท็บเล็ต"ได้อีกด้วย
บูธ Kohjinsha ในงาน CEATEC ได้สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมไม่น้อยด้วยการแสดงต้นแบบ"เน็ตบุ๊ก"ไฮโซฯที่มาพร้อม กับหน้าจอ LCD ขนาด 10.1 นิ้ว (ความละเอียด 1024 x 600 หรือ 1366 x 768) ถึง 2 จอด้วยกัน โดยสามารถเลื่อนทับกันได้สนิท ในกรณีที่ต้องการใช้งานแค่จอเดียว แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่แค่เน็ตบุ๊กที่มีสองจอเท่านั้นนะค่ะ เพราะจากในรูปสังเกตได้ว่า บริเวณด้านล่างของจอกับคีย์บอร์ดจะมีกลไกที่ทำให้สามารถหมุนจอได้เพื่อใช้งานเป็น"แท็บเล็ต"ได้อีกด้วย
สุดยอด!!! เน็ตบุ๊ก-แท็บเล็ต"สองจอ"
ต้นแบบเน็ตบุ๊กสองจอของ Kohjinsha เครื่องนี้จะใช้ซีพียูเป็น AMD Athlon Neo MV-40 1.6GHz ไดรเวอร์สำหรับการแสดงผลเป็น DirectX 10 ฮาร์ดดิสก์ SATA 2.5 นิ้ว รองรับหน่วยความจำแบบ DDR2 ได้สูงสุด 4GB เชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 802.11 b/g/n และบลูทูธ มาพร้อมกับฟังก์ชันทีวีจูนเนอร์ และทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 Home Premium โดยตัวเครื่องต้นแบบมีน้ำหนักรวมทั้งหมดไม่ถึง 4 ปอนด์ (1.8 กิโลกรัม) แต่อาจจะเทอะทะเล็กน้อย ทั้งนี้ส่วนที่หนาที่สุดของเครื่องจะอยู่ที่ 1.7 นิ้ว (สองจอซ้อนกัน+ตัวเครื่อง) และบางสุด 0.75 นิ้ว นอกจากเรื่องของการพกพาที่ดูไม่น่าจะสะดวกมากนักแล้ว มันยังมีประเด็นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้ เพราะสองจอน่าจะใช้พลังงานไม่น้อย กำหนดการวางตลาดในญี่ปุ่นก่อนสิ้นปีนี้ สนนราคาประมาณ 800 เหรียญฯ (ประมาณ 28,800 บาท) เอาเป็นว่า มันจะดูสวยงามน่าใช้แค่ไหน คุณผู้อ่านก็ลองชมจากคลิปที่นำมาฝากข้างล่างนี้ก็แล้วกันค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
ที่ชาร์จสารพัด Gadgets ของคุณ
ไอ้เจ้าเครื่องที่ทุกคนเห็นในภาพนั้น มันไม่ใช่สเก็ตบอร์ดหรือพรหมเช็ดเท้านะค่ะ แต่มันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคอย่างนึง ที่ได้รับการออกแบบโดย Rob Cameron ซึ่งจากการออกแบบมาอย่างเลิศหรูอลังการ มันสามารถที่จะเป็นที่ชาร์จ Gadgets ของเราได้ตั้งหลายอย่างแนะ ไม่ว่าจะเป็น iPhone, BlackBerry, PSP, Apple Dock, ส่วนการทำงานก็คือจะมีปลอกที่ติด PowerMat สวมทับที่ Gadgets อีกทีแล้วแปะเครื่องของเราลงไปบนฐาน PowerMat นอกจากนั้นมันยังสามารถเชื่อมต่อด้วยสายชาร์จหัวต่อ PowerMat ได้อีกตั้งหลายรูปแบบ จากการออกแบบ เค้าทำออกมาให้มีความบาง และเบา สามารถเก็บพับได้ สามารถพกพาไปไหนต่อได้เหมือนพกโทรศัพท์มือถือได้เลยทีเดียว โอ้โหถ้ามีออกมาขายจริง ๆ จะเป็นไปได้มั้ยเนี่ย แต่ต้องยอมรับนะว่าช่างคิดด้ายยยยยยคุณ Rob Cameron
ว้าว!!! แฟลชไดรฟ์ 32GB "เล็กจิ๋ว-กันน้ำ"
Pico Drive 32GB แฟลชไดรฟ์ยูเอสบีขนาดเล็กที่สุดในโลกที่มีความจุสูงขนาดนี้ โดยมีความยาวแค่ 31.3 มม. กว้าง 12.4 มม. และหนา 3.4 มม. เท่านั้น ซึ่งเมื่อเสียบเข้ากับพอร์ตยูเอสบี ส่วนที่ยื่นออกมาแค่ 1.5 ซม. เท่านั้น ตัวถังเคลือบด้วยเงิน (กันไฟฟ้าสถิตย์ หรือกระแสไฟฟ้าเล็กๆ ที่อาจะส่งผลอันตรายกับข้อมูลที่บันทึกอยู่ภายใน) และเช่นเคยที่มันยังคงสามารถกันน้ำได้
คลิปข้างล่างนี้เป็นการพิสูจน์คุณสมบัติกันน้ำของแฟลชไดรฟ์รุ่น 8GB สนนราคาของ Pico Drive 32GB อยู่ที่ 139.99 เหรียญฯหรือประมาณ 5,000 บาท
สำรวจร้านดังมาบุญครอง จับกระแสก่อนเปิดตัว iPhone 5 ราคา iPhone 4 รูดลงทุกวัน
นับถอยหลัง อีกไม่นาน "Apple" จะเปิดตัว iPhone 4 ความจุ 8GB พร้อม กับ iPhone 5 ชั่วโมงนี้ สาวก "Apple" ต่างตั้งตารอ เตรียมทุบกระปุก
กระแสข่าว iPhone 5 ถูกจับตามองกันแบบวันต่อวัน บางกระแสก็ลือว่าจะมีการวางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ บางกระแสก็บอกว่าจะวางจำหน่าย 14 ตุลาคม ซึ่งกระแสข่าวทั้งสองก็ยังไม่ได้มีการยืนยันออกมาอย่างเป็นทางการ
ขณะที่ Apple ก็ยังไม่ระบุแน่ชัดว่าวันไหน แต่ล่าสุดกลับมีกระแสข่าวใหม่ออกมาเพิ่มเติมว่า ทาง Apple จะทำการเปิดให้สั่งจองหรือ Pre-Order ในช่วงปลายเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
สำหรับ iPhone 4 ความจุ 8GB นั้น ซึ่งผลิตออกมาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับล่างและนำมาขายในราคาที่ไม่สูงมาก นัก ราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 12,000-14,000 บาท เหมาะสำหรับคนที่มีกำลังซื้อน้อย แต่อยากใช้ iPhone ซึ่งโฉมใหม่ของ iPhone 4 จะมาพร้อมกับความจุ 8GB และจะเปิดตัวในเร็วๆนี้
มติชนออนไลน์ สำรวจ ตลาดมือถือยอดนิยม ศูนย์การค้ามาบุญครอง ก่อน iPhone 5 จะเปิดตัวในเร็ววัน
นายอำนวย แกะสุวรรณ พนักงานขายร้าน "A.O.B mobile" เผยว่า ราคา iPhone 4 ปรับลงเกือบทุกวัน ลดลงประมาณ 100-200 บาทต่อวัน ตั้งแต่ที่มีข่าวออกมา เกี่ยวกับ iPhone ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งตอนนี้ทางร้านไม่ได้รับสินค้าเพิ่มแล้ว เพียงแต่ขายของในสต๊อกให้หมดก่อน เกรงว่า ถ้ารับของมาขายในตอนนี้ อาจจะทำให้ขาดทุนได้ เพราะราคา iPhone 4 ปรับลดลงทุกวันและคาดว่า ราคาอาจจะลดลงไปถึง 3,000-5,000 บาท ก็เป็นไปได้
พนักงานร้าน "A.O.B mobile" ให้ข้อมูลอีกว่า ราคาขาย iPhone 4 (16GB) ในตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 19,900 บาท(ราคาเครื่องหิ้ว) ซึ่งราคาเดิมอยู่ที่ 23,000 บาท และคาดว่า หาก iPhone 5 เข้ามา ราคาอาจจะลดเหลือเพียงแค่ 16,000 บาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามยอดขาย iPhone 4 ของร้านเราในตอนนี้จำนวนการขายยังคงที่ เพียงแต่ต้องปรับราคาลดลงเพื่อดึงดูดลูกค้า เพราะตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะรอซื้อ iPhone 5 กันทั้งนั้น
ขณะที่ นายส่งศักดิ์ จรรยาวุฒิกุล เจ้าของร้านจำหน่ายโทรศัพท์ "M2D-online" กล่าวว่า จำนวนยอดขาย iPhone 4 ในตอนนี้เริ่มลดลงเรื่อยๆ ส่วนในเรื่องราคาขายนั้น ทางร้านของเราขาย iPhone 4 ในราคา 20,900 (16GB) เป็นราคาเครื่องศูนย์รับประกันให้หนึ่งปี ส่วนในเรื่องการปรับราคาในแต่ละวันนั้น จะดูจากจำนวนผู้ซื้อ หากผู้ซื้อมีจำนวนมากทางเราก็จะมีการปรับราคาขึ้นประมาณ 100-200 บาท หากผู้ซื้อมีจำนวนน้อยลงทางเราก็จะปรับราคาลงอีกพอสมควร ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้าด้วยว่า ขาดสต๊อกหรือเปล่า
"ลูกค้าของร้านเราในตอนนี้จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ ลูกค้าที่รอให้ iPhone 5 ออกมาก่อน เพื่อที่จะรอซื้อ iPhone 4 ในราคาที่ถูก และอีกประเภทคือ รอซื้อ iPhone ตัวใหม่ล่าสุดทีเดียวเลย" เจ้าของร้านโทรศัพท์ M2D-online กล่าว
สำหรับข่าวลือใหม่ล่าสุดทีมีการเผยแพร่ออกมาก็คือ เคสด้านหลังของ iPhone 5 จะใช้อะลูมิเนียมแทนการใช้กระจกแก้วที่มีปัญหาว่ามันแตกร้าวได้ ซึ่งจะว่าไป การใช้อะลูมิเนียมเป็นทางที่ Apple ชอบอยู่แล้ว และนอกจากจะเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำเคสของ iPhone 5 แล้ว เสาสัญญาณยังได้รับการออกแบบใหม่ โดยจะไม่มีการโผล่ส่วนใดๆ ของเสาสัญญาณออกมาเหมือนดีไซน์ของ iPhone 4 แต่จะซ่อนอยู่ด้านหลังโลโก้ของ Apple ซึ่งจะคล้ายกับวิธีซ่อนเสาสัญญาณ Wi-Fi ในตัวเคสของ iPad
อย่างไรก็ตามหลักฐานที่ทำให้แนวคิดนี้มีความน่าเชื่อถือก็คือ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว Apple ได้จดสิทธิบัตรสำหรับวิธีซ่อนเสาอากาศไว้ในโลโก Apple ของ iPhone ส่วนเรื่องเคส iPhone 5 จะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม ยังไม่มีแหล่งข่าวออกมายืนยันถึงความเป็นไปได้ แต่ก็ถือว่า เป็นข่าวลือข่าวแรกที่ฟังดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว ยังไงก็ต้องติดตาม รอดูความชัดเจนกันต่อไป
ก่อน iPhone 5 ตัวจริงจะมาถึง เรามาดูรูปโฉมของ iPhone 5 ตัวปลอม ฆ่าเวลากันไปพรางๆก่อนแล้วกันนะคะ
แค่ราคาก็กินขาดแล้ว เริ่มต้นเพียง 2,000 บาท ถูกเหลือเชื่อจริงๆ สำหรับ iPhone 5 (ตัวก๊อปจีน) ซึ่ง ดีไซน์โดยโรงงานจีน คุณสมบัติเพียบ อาทิเช่น WIFI,ดูTVฟรี,Bluetooth,กล้อง ซึ่งมีทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง และอื่นๆอีกเพียบ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ตัวเครื่องสามารถใส่ได้ 2 ซิม โอ้โห้!! เห็นอย่างนี้แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple จะสู้ได้อย่างไรกัน ฮ่า...ฮ่า...
"ใครที่กำลังมองหา มือถือ ก็ลองซื้อไปเซอร์ไพรส์เพื่อนๆกันดูได้นะ ว่าเรามีโอกาสได้ใช้ iPhone 5 ก่อนใครอีกนะ เออ.."
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/39024.html
วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554
อัพเกรด Windows 7 ด้วยไดรฟ์ยูเอสบี
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ออกซอฟต์แวร์ฟรีที่ช่วยให้ผู้ใช้เน็ตบุ๊กที่ต้องการอัพเกรดไปใช้ระบบปฎิบัติการ Windows 7 ได้สะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากเน็ตบุ๊กโดยทั่วไปจะมาพร้อมกับ Windows XP และไม่มีไดรฟ์ DVD เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ใช้กลุ่มนี้สามารถสร้างยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ หรือ DVD ที่สามารถใช้ในการบู๊ตเครื่อง และติดตั้ง Windows 7 ได้
สำหรับเครื่องมือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดก็อปปี้ Windows 7 จากเว็บไซต์ Microsoft Store โดยเมื่อติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวนี้เข้าไปในเน็ตบุ๊ก แล้วเปิดมันขึ้นทำงาน มันจะถามผู้ใช้ถึงตำแหน่งที่เก็บไฟล์ ISO ของ Windows 7 ที่ดาวน์โหลดมา เมื่อเลือกไฟล์เสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เลือกว่าจะใช้ยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ หรือ DVD หลังจากเลือกเสร็จตามขั้นตอนแล้ว คุณจะสามารถใช้ USB drive หรือ DVD ที่สร้างขึ้นมาไปใช้ในการติดตั้ง Windows 7 ได้ทันที
อย่างไรก็ดี หลังจากเตรียมไดรฟ์ยูเอสบีที่จะใช้บู๊ต และติดตั้ง Windows 7 แล้ว ขั้นตอนก่อนติดตั้งก็คือ คุณจะต้องเข้าไปเปลี่ยนลำดับการบู๊ตใน BIOS เพื่อให้เน็ตบุ๊กของคุณบู๊ตจากไดรฟ์ยูเอสบีแทนที่จะเป็นจากฮาร์ดดิสก์ สำหรับระบบขั้นพื้นฐานที่สามารถติดตั้งเครื่องมือตัวนี้ได้มีดังนี้
ระบบปฏิบัติการทีใช้เป็น Windows XP SP2, Windows Vista หรือ Windows 7 (32-bit หรือ 64-bit)
โพรเซสเซอร์ Pentium 233MHz ขึ้นไป (แนะนำให้ใช้ที 300MHz)
พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 50MB
ไดรฟ์ DVD-R หรือยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ความจุ 4GB ขึ้นไป
สนใจดาวน์โหลด Windows 7 USB/DVD Download Tool
ที่มา : http://hitech.sanook.com/technology/news_13516.php
สำหรับเครื่องมือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดก็อปปี้ Windows 7 จากเว็บไซต์ Microsoft Store โดยเมื่อติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวนี้เข้าไปในเน็ตบุ๊ก แล้วเปิดมันขึ้นทำงาน มันจะถามผู้ใช้ถึงตำแหน่งที่เก็บไฟล์ ISO ของ Windows 7 ที่ดาวน์โหลดมา เมื่อเลือกไฟล์เสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เลือกว่าจะใช้ยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ หรือ DVD หลังจากเลือกเสร็จตามขั้นตอนแล้ว คุณจะสามารถใช้ USB drive หรือ DVD ที่สร้างขึ้นมาไปใช้ในการติดตั้ง Windows 7 ได้ทันที
อย่างไรก็ดี หลังจากเตรียมไดรฟ์ยูเอสบีที่จะใช้บู๊ต และติดตั้ง Windows 7 แล้ว ขั้นตอนก่อนติดตั้งก็คือ คุณจะต้องเข้าไปเปลี่ยนลำดับการบู๊ตใน BIOS เพื่อให้เน็ตบุ๊กของคุณบู๊ตจากไดรฟ์ยูเอสบีแทนที่จะเป็นจากฮาร์ดดิสก์ สำหรับระบบขั้นพื้นฐานที่สามารถติดตั้งเครื่องมือตัวนี้ได้มีดังนี้
ที่มา : http://hitech.sanook.com/technology/news_13516.php
โซนี่ เปิดตัวผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอล Cyber-shot ใหม่พร้อมกัน 2 รุ่น
ทีกรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 30 กันยายน 2552 – บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด ผู้นำนวัตกรรมกล้องดิจิตอล และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อผู้บริโภค ประกาศความเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเป็นผู้นำด้านดิจิตอลไลฟ์สไตล์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ตรงจุดมากที่สุด โดยล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอลใหม่ 2 รุ่น คือ รุ่น Sony Cyber-shot DSC-TX1 และ รุ่น Sony Cyber-shot DSC-WX1 อันเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอลที่บางที่สุดในโลก เพียง 14.1 มิลลิเมตร และ 19.8 มิลลิเมตร ตามลำดับ พร้อมชูจุดเด่นเทคโนโลยีเพื่อภาพคมชัดในทุกสภาพแสง และคุณสมบัติพิเศษอย่าง Hand-held Twilight และ Sweep Panorama โดนใจ พร้อมด้วยอุปกรณ์
เสริม Party Shot ที่เป็นเหมือนช่างภาพส่วนตัว ที่พร้อมสร้างความสนุกสนานในการใช้งาน และเติมเต็มความครบครันให้กับชุดผลิตภัณฑ์ Digital Imaging ในตระกูล Cyber-shot ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสร้างกระแสความนิยม และขยายฐานลูกค้าด้วยกิจกรรมผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค สื่อออนไลน์ที่กำลังมาแรง อาทิ Facebook, Hi5 และ Twitter
เสริม Party Shot ที่เป็นเหมือนช่างภาพส่วนตัว ที่พร้อมสร้างความสนุกสนานในการใช้งาน และเติมเต็มความครบครันให้กับชุดผลิตภัณฑ์ Digital Imaging ในตระกูล Cyber-shot ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสร้างกระแสความนิยม และขยายฐานลูกค้าด้วยกิจกรรมผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค สื่อออนไลน์ที่กำลังมาแรง อาทิ Facebook, Hi5 และ Twitter
นายไทสุเกะ นากานิชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวว่า “ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการกล้องดิจิตอลที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานถ่ายภาพได้ง่าย ภายใต้ทุกสภาวะแสง และด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้เข้าไว้ในชุดผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของ Sony Cyber-shot จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเพลิดเพลินไปกับไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ของเขาได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ การเปิดตัวกล้องดิจิตอลใหม่ล่าสุดทั้ง 2 รุ่น ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นผู้นำทั้งในด้านส่วนแบ่งทางการตลาดที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันโซนี่ยังครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในหมวดสินค้ากล้องดิจิตอลคอมแพ็คด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และกล่าวได้ว่า กล้องไซเบอร์ช็อตยังเป็นผู้นำในด้านไลฟ์สไตล์ ด้วยการนำเสนอสีสัน และรูปแบบการดีไซน์ที่โดดเด่น มีความเป็นแฟชั่น ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างตรงจุด”
นายโยจิ ฮิกาชิดะ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดคอนซูเมอร์ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “โซนี่เตรียมเดินหน้ารุกตลาดล้องดิจิตอลด้วยกลุยทธ์การสื่อสาร และกิจกรรมการตลาดที่ครอบคลุมในทุกช่องทางทั้ง above the line, below the line และ online โดยเฉพาะในส่วนของช่องทางออนไลน์นั้น โซนี่ได้ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้โซนี่สามารถสื่อสารกับลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับกล้องไซเบอร์ช็อตรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้ทั้งรุ่น TX1 และ WX1 โซนี่ได้เตรียมขยายกิจกรรมออนไลน์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทั้ง Facebook Twitter และ hi 5 ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมที่มาแรงในขณะนี้ ด้วยแคมเปญออนไลน์ล่าสุดชื่อ “Who Took The Shot?” เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ในกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ และความสนใจคล้าย ๆ กัน โดยจะทำกิจกรรมผ่านกลุ่มเซเลบริตี้คนรุ่นใหม่ กิจกรรมเหล่านี้เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวที่จะนำเสนอประสบการณ์และผลิตภัณฑ์ดิจิตอลไลฟ์สไตล์เพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง ” สำหรับกิจกรรมออนไลน์ “Who Took The Shot?” จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ศกนี้บน cybershot.sony.co.th โดยจะมีเซเลบบริตี้ชื่อดังในหลากหลายอาชีพมาร่วมสนุกกิจกรรมออนไลน์คอมมูนิตี้จำนวน 4 ท่าน คือ แพร์ พิมพิศา จิราธิวัฒน์, ลูกเกด จิรดา โยฮารา, ไมค์ ไมเคิล เคนเนท หว่อง และโทนี่ รากแก่น (ธีรชัย วิมลชัยฤกษ์) โดยทั้งหมดจะลิงค์ อัพเดท และแชร์ข้อมูลส่วนตัวผ่าน โซเชียลเน็ตเวิร์คส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter หรือ Hi5 รวมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าร่วมเป็นแฟนเพื่อเกาะติดความเคลื่อนไหว และร่วมสนุกกับกิจกรรมกับบรรดาเซเลบคนโปรด พร้อมทั้งเรียนรู้ฟังก์ชั่นการใช้งานของกล้องไซเบอร์ช็อตผ่านเกมส์ต่าง ๆ และร่วมลุ้นรางวัลมากมาย
ผลิตภัณฑ์ใหม่ในหมวดดิจิตอล อิมเมจจิ้ง จากโซนี่
กล้องไซเบอร์ช็อตรุ่น TX1 และ WX1 กล้องไซเบอร์ช็อต 2 รุ่นล่าสุด ที่ให้ภาพสวยคมชัด ด้วย 3 สุดยอดเทคโนโลยี Image3 หรือ อิมเมจคิวบ์ ที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้คมชัดทุกรายละเอียดประกอบด้วย ชิปประมวลผลภาพExmor R CMOS Sensor ที่ช่วยลดสัญญาณรบกวน เพิ่มความเร็วในการประมวลผลภาพ และช่วยในการถ่ายภาพในภาวะแสงน้อย หน่วยประมวลผล BIONZ imaging processor ช่วยลดสัญญาณรบกวนของภาพ เพิ่มความรวดเร็วในการปรับแสงและโฟกัสของกล้องได้อย่างสัมพันธ์กัน ทำให้ภาพมีความคมชัดยิ่งขึ้น รวมทั้งเลนส์จี (G Lens) และเลนส์คาร์ลไซส์ (Carl Zeiss Lens) เลนส์คุณภาพสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคมชัดของภาพถ่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้น ทั้งกล้องไซเบอร์ช็อตทั้งรุ่น DSC-TX1 และ DSC-WX1 ยังโดดเด่นด้วยคุณสมบัติพิเศษที่โซนี่ได้พัฒนาขึ้น คือ ฟังก์ชั่น Hand-held Twilight และ Anti-Motion Blur ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพในช่วงเวลาที่แสงน้อย อย่างในช่วงเย็นถึงค่ำได้อย่างคมชัด โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ทั้งยังช่วยลดสัญญาณรบกวนได้ถึง 50% และฟังก์ชั่น Sweep Panorama ที่จะทำให้การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างแบบพาโนราม่าเป็นเรื่องง่ายขึ้นแค่ปลายนิ้วสัมผัส เพียงกดชัตเตอร์ค้างไว้ และแพนกล้องไปในทิศทางที่ต้องการทั้งในแนวดิ่ง หรือแนวราบ ก็ได้ภาพพาโนรามาได้โดยไม่ต้องตกแต่งด้วยคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 10 เฟรมต่อวินาที ทำให้มั่นใจว่าไม่พลาด ช็อตสำคัญ
กล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-TX1
นายโยจิ ฮิกาชิดะ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดคอนซูเมอร์ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “โซนี่เตรียมเดินหน้ารุกตลาดล้องดิจิตอลด้วยกลุยทธ์การสื่อสาร และกิจกรรมการตลาดที่ครอบคลุมในทุกช่องทางทั้ง above the line, below the line และ online โดยเฉพาะในส่วนของช่องทางออนไลน์นั้น โซนี่ได้ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้โซนี่สามารถสื่อสารกับลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับกล้องไซเบอร์ช็อตรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้ทั้งรุ่น TX1 และ WX1 โซนี่ได้เตรียมขยายกิจกรรมออนไลน์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทั้ง Facebook Twitter และ hi 5 ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมที่มาแรงในขณะนี้ ด้วยแคมเปญออนไลน์ล่าสุดชื่อ “Who Took The Shot?” เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ในกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ และความสนใจคล้าย ๆ กัน โดยจะทำกิจกรรมผ่านกลุ่มเซเลบริตี้คนรุ่นใหม่ กิจกรรมเหล่านี้เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวที่จะนำเสนอประสบการณ์และผลิตภัณฑ์ดิจิตอลไลฟ์สไตล์เพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง ” สำหรับกิจกรรมออนไลน์ “Who Took The Shot?” จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ศกนี้บน cybershot.sony.co.th โดยจะมีเซเลบบริตี้ชื่อดังในหลากหลายอาชีพมาร่วมสนุกกิจกรรมออนไลน์คอมมูนิตี้จำนวน 4 ท่าน คือ แพร์ พิมพิศา จิราธิวัฒน์, ลูกเกด จิรดา โยฮารา, ไมค์ ไมเคิล เคนเนท หว่อง และโทนี่ รากแก่น (ธีรชัย วิมลชัยฤกษ์) โดยทั้งหมดจะลิงค์ อัพเดท และแชร์ข้อมูลส่วนตัวผ่าน โซเชียลเน็ตเวิร์คส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter หรือ Hi5 รวมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าร่วมเป็นแฟนเพื่อเกาะติดความเคลื่อนไหว และร่วมสนุกกับกิจกรรมกับบรรดาเซเลบคนโปรด พร้อมทั้งเรียนรู้ฟังก์ชั่นการใช้งานของกล้องไซเบอร์ช็อตผ่านเกมส์ต่าง ๆ และร่วมลุ้นรางวัลมากมาย
ผลิตภัณฑ์ใหม่ในหมวดดิจิตอล อิมเมจจิ้ง จากโซนี่
กล้องไซเบอร์ช็อตรุ่น TX1 และ WX1 กล้องไซเบอร์ช็อต 2 รุ่นล่าสุด ที่ให้ภาพสวยคมชัด ด้วย 3 สุดยอดเทคโนโลยี Image3 หรือ อิมเมจคิวบ์ ที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้คมชัดทุกรายละเอียดประกอบด้วย ชิปประมวลผลภาพExmor R CMOS Sensor ที่ช่วยลดสัญญาณรบกวน เพิ่มความเร็วในการประมวลผลภาพ และช่วยในการถ่ายภาพในภาวะแสงน้อย หน่วยประมวลผล BIONZ imaging processor ช่วยลดสัญญาณรบกวนของภาพ เพิ่มความรวดเร็วในการปรับแสงและโฟกัสของกล้องได้อย่างสัมพันธ์กัน ทำให้ภาพมีความคมชัดยิ่งขึ้น รวมทั้งเลนส์จี (G Lens) และเลนส์คาร์ลไซส์ (Carl Zeiss Lens) เลนส์คุณภาพสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคมชัดของภาพถ่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้น ทั้งกล้องไซเบอร์ช็อตทั้งรุ่น DSC-TX1 และ DSC-WX1 ยังโดดเด่นด้วยคุณสมบัติพิเศษที่โซนี่ได้พัฒนาขึ้น คือ ฟังก์ชั่น Hand-held Twilight และ Anti-Motion Blur ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพในช่วงเวลาที่แสงน้อย อย่างในช่วงเย็นถึงค่ำได้อย่างคมชัด โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ทั้งยังช่วยลดสัญญาณรบกวนได้ถึง 50% และฟังก์ชั่น Sweep Panorama ที่จะทำให้การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างแบบพาโนราม่าเป็นเรื่องง่ายขึ้นแค่ปลายนิ้วสัมผัส เพียงกดชัตเตอร์ค้างไว้ และแพนกล้องไปในทิศทางที่ต้องการทั้งในแนวดิ่ง หรือแนวราบ ก็ได้ภาพพาโนรามาได้โดยไม่ต้องตกแต่งด้วยคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 10 เฟรมต่อวินาที ทำให้มั่นใจว่าไม่พลาด ช็อตสำคัญ
กล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-TX1
บางเฉียบเพียง 14.1 มิลลิเมตร ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล มาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส Clear photo LCD plus ขนาด 3 นิ้ว (230K dots) ซูมออฟติคอล 4 เท่า/ เพรซิซั่น ดิจิตอลซูม 8 เท่า/ สมาร์ทซูม 22 เท่า(VGA) เลนส์ Carl Zeiss Vario-Tessar ฟังก์ชั่น Sweep Panorama และ Hand-held Twilight Mode ให้ภาพคมชัดด้วยเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Exmor R CMOS Sensor 1/2.4, ตัวประมวลผล BIONZ และสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 10 ภาพต่อวินาที นอกจากนี้ เทคโนโลยีออโต้โฟกัสอัจฉริยะ (iAF) เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าเคลื่อนไหว เทคโนโลยีโฟกัสหลายใบหน้า (Face Detection) หน่วยความจำภายใน 11 MB โดยมี 5 สีให้เลือก: สีทอง สีเงิน สีชมพู สีน้ำเงิน และสีเทาเข้ม
ล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-WX1
ล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-WX1
ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล หน้าจอ Clear photo LCD plus ขนาด 2.7 นิ้ว (230K dots) ซูมออฟติคอล 5 เท่า/ เพรซิซั่น ดิจิตอลซูม 10 เท่า/ สมาร์ทซูม 28 เท่า(VGA) เลนส์ G แบบมุมกว้าง 24 มม. F2.4 ฟังก์ชั่น Sweep Panorama และ Hand-held Twilight Mode ให้ภาพคมชัดด้วยเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Exmor R CMOS Sensor 1/2.4, ตัวประมวลผล BIONZ และสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 10 ภาพต่อวินาที นอกจากนี้ เทคโนโลยีออโต้โฟกัสอัจฉริยะ (iAF) เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าเคลื่อนไหว เทคโนโลยีโฟกัสหลายใบหน้า (Face Detection) หน่วยความจำภายใน 11 MB โดยมี 3 สีให้เลือกทั้งสีทอง สีเงิน และสีดำ
ปาร์ตี้-ช็อต (Party-shot™)
เพิ่มประสบการณ์สนุกในการถ่ายภาพ เสมือนมีช่างภาพส่วนตัวที่คอยตามถ่ายภาพครบทุกคน
Sony Party-shot™ เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้ร่วมกับกล้องรุ่น TX1 และ WX1 เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพอัตโนมัติเครื่องแรกของโลก ทำหน้าที่เหมือนเป็นช่างภาพส่วนตัวที่จะช่วยถ่ายภาพทุกคนในงานปาร์ตี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ให้คุณสนุกสนานและวางใจว่างานปาร์ตี้จะมีภาพครบทุกคน Sony Party-shot™ จะทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของกล้องไซเบอร์ช็อต อาทิ Face Detection, Smile Shutter และแฟลช เป็นต้น พร้อมจัดองค์ประกอบภาพให้สวยงาม Sony Party-shot™ ใช้งานง่ายมาก เพียงวางกล้องไซเบอร์ช็อต รุ่น DSC-TX1 หรือ DSC-WX1 ลงบนแท่นวาง เครื่องก็จะทำงานอย่างอัตโนมัติโดยสามารถหมุนแพนได้รอบตัว พร้อมเงยขึ้นลงเพื่อหาองค์ประกอบในการถ่ายภาพอย่างลงตัว
กำหนดการวางจำหน่าย
กล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-TX1 มีวางจำหน่ายในราคา 13,990 บาท และกล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-WX1 มีวางจำหน่ายในราคา 12,990 บาท ปาร์ตี้ช็อตราคา 4,990 บาท จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นไป โดยท่านสามารถสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และร้านตัวแทนจำหน่าย ได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร. 0-2715-6100 หรือ www.sony.co.th
ปาร์ตี้-ช็อต (Party-shot™)
เพิ่มประสบการณ์สนุกในการถ่ายภาพ เสมือนมีช่างภาพส่วนตัวที่คอยตามถ่ายภาพครบทุกคน
Sony Party-shot™ เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้ร่วมกับกล้องรุ่น TX1 และ WX1 เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพอัตโนมัติเครื่องแรกของโลก ทำหน้าที่เหมือนเป็นช่างภาพส่วนตัวที่จะช่วยถ่ายภาพทุกคนในงานปาร์ตี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ให้คุณสนุกสนานและวางใจว่างานปาร์ตี้จะมีภาพครบทุกคน Sony Party-shot™ จะทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของกล้องไซเบอร์ช็อต อาทิ Face Detection, Smile Shutter และแฟลช เป็นต้น พร้อมจัดองค์ประกอบภาพให้สวยงาม Sony Party-shot™ ใช้งานง่ายมาก เพียงวางกล้องไซเบอร์ช็อต รุ่น DSC-TX1 หรือ DSC-WX1 ลงบนแท่นวาง เครื่องก็จะทำงานอย่างอัตโนมัติโดยสามารถหมุนแพนได้รอบตัว พร้อมเงยขึ้นลงเพื่อหาองค์ประกอบในการถ่ายภาพอย่างลงตัว
กำหนดการวางจำหน่าย
กล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-TX1 มีวางจำหน่ายในราคา 13,990 บาท และกล้องดิจิตอล Sony Cyber-shot DSC-WX1 มีวางจำหน่ายในราคา 12,990 บาท ปาร์ตี้ช็อตราคา 4,990 บาท จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นไป โดยท่านสามารถสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และร้านตัวแทนจำหน่าย ได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร. 0-2715-6100 หรือ www.sony.co.th
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554
10 เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน
10 เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน
คุณผู้อ่านเคยเจออาการแบบผู้เขียนบ้างไหมครับ คือเวลาที่ออกมาทำงาน หรือ เรียนหนังสือ เผลอเล่นเจ้า iPhone ซะเพลิน จนลืมคำนวนแบตเตอรี่ให้พอใช้ได้ตลอดทั้งวัน พอนึกขึ้นได้ ก็เจอกับไอค่อนแบบเตอรี่สีแดง พร้อมกับจำนวนของแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อยู่ข้างนอกบ้าน จะหาที่ชาร์ตก็เป็นได้ยากแน่ๆ ทีนี้ล่ะก็งานเข้ากันอย่างแน่นอน วันนี้เออาร์ไอพีเลยขอเสนอวิธีประหยัดแบบเตอรี่ยามฉุกเฉิน 10 วิธีด้วยกัน จะมีอะไรบ้างลองไปดูกันเลยครับ
1.ปิดการค้นหาสัญญาณ 3G
เพราะการเปิดการทำงานผ่านระบบ 3G ต้องใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าปกติ ทางที่ดีถ้าไม่ได้ใช้งาน หรือ ใช้งานที่ไม่ได้ต้องการความเร็วมากๆ ลองปิดระบบ 3G โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Enable 3G = OFF
2.ปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi
แม้จะไม่ได้ใช้สัญญาณ Wi-Fi อยู่ แต่ถ้าหากเปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi ไว้ โดยปกติแล้ว iPhone จะมีการค้นหาสัญญาณ Wi-Fi อยู่เป็นระยะ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เข้าไปปิดได้ที่ Setting > Wi-Fi = OFF
3.ปิด Personal Hotspot
ในหัวข้อนี้คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเจอบ้างไม่เจอบ้าง เนื่องจาก Personal Hotspot จะมีเพิ่มเข้ามาใน Firmware 4.3 ขึ้นไป ดังนั้นหากท่านใดที่เปิดไว้ แล้วไม่ได้ใช้งาน ควรปิดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ที่เคยต่อกับ iPhone ไว้แล้วมีการต่อสัญญาณไปยังอินเตอร์เน็ตโดยไม่รู้ตัว โดยเข้าไปที่ Setting > Personal Hotspot = OFF
4.เลือกเปิดเฉพาะ Noticfication ที่จำเป็น
การที่เครื่อง iPhone ต้องเช็คกับ Server ของทาง Apple เพื่อขึ้นข้อความ Noticfication ตลอดเวลา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดใหม่ ควรเลือกเปิดเฉพาะ Noticfication ที่จำเป็น หรือหากไม่ต้องการใช้จะปิดไปเลยก็ได้ โดยเข้าไปที่ Setting > Noticfications = OFF (หรือเลือกเปิด-ปิดเฉพาะ Application ที่ต้องการ)
5.ปิดการใช้ Location Service
Location Service คือการอ้างอิงตำแหน่งของเครื่อง ตามตำแหน่งดาวเทียม GPS หรือ Cell site ในกรณีที่เปิด Application ที่ต้องการร้องขอตำแหน่งของตัวเครื่อง แน่นอนว่าก็เป็นการเปลืองพลังงานแบตเตอรี่อีกเช่นกัน ในกรณีที่คุณไม่ต้องการใช้งานให้เข้าไปปิดได้ที่ Setting > Location Services = OFF (หรือเลือกเปิด-ปิดเฉพาะ Application ที่ต้องการ)
6.ปรับระดับความสว่างของจอให้พอเหมาะ
ปกติแล้วหน้าจอของ iPhone จะมีเซ็นเซอร์ที่คอยวัดแสงของสภาพแวดล้อม และปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม แต่ในกรณีที่แบตใกล้หมดจริงๆ การปิดโหมดการวัดแสง ก็ช่วยรักษาระดับพลังงานแบตเตอรี่ได้เช่นกัน โดยเข้าไปปรับได้ที่ Setting > Brightness > Auto-Brightness = OFF (แต่ควรปรับระดับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมด้วยตนเอง ซึ่งถ้าเป็นสว่างกว่าความจำเป็น ก็เป็นการเปลืองแบตเตอรี่อีกเช่นกัน)
7.ปรับรอบการเช็ค Push เมล์
ถ้าคุณผู้อ่านเปิดระบบ Fetch ไว้ (การแจ้งเตือน Email ใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน) ซึ่งจะมีรอบของการเช็คให้เลือก 15 นาที, 30 นาที และ Hourly ด้วยกัน ถ้าไม่ได้รอรับอีเมล์สำคัญจริงๆ ก็ควรเปลี่ยนระบบนี้ไปที่ Manually คือจะเช็คก็ต่อเมื่อมีการเปิด Application ของ Email เท่านั้น โดยเข้าไปที่ Setting > Mail, Contacts, Calendars > Fetch New Data > Fetch = Manually
8.ปิด Applicaiton ที่ค้างใน Multitask
แม้ว่าจะไม่ได้เปิด Application นั้นไว้แล้วก็ตาม แต่ถ้า App ใดที่สนับสนุนการทำงานแบบ Background ก็ย่อมทำให้เครื่องต้องรับภาระประมวลผลเพิ่มเช่นกัน จึงยิ่งทำให้ต้องศูนย์เสียพลังงานโดยปล่าวประโยชน์ ดังนั้นก็ควรปิด App ที่ไม่จำเป็นซะ โดยกดที่ปุ่มโฮมไวๆ 2 ครั้ง จากนั้นกดที่ไอค่อนข้างไว้ 2-3 วินาที และกดปุ่มเครื่องหมายลบ
9.ปิด Bluetooth
Bluetooth ของ iPhone นั้น เป็นแบบ Discoverable (สามารถมองเห็นจากเครื่องอื่นได้ตลอดเวลา) ดังนั้นย่อมใช้พลังงานในการส่งสัญญาณออกไปตลอดเวลา จึงควรปิดเมื่อไม่ต้องการใช้ โดยเข้าไปที่ Setting > General > Bluetooth = OFF
10.ไม้ตายสุดท้าย ปิดสัญญาณ Cellular Data
ถ้าหากฉุกเฉิน ถึงขั้นที่แบตใกล้หมดเต็มที แต่ยังจำเป็นต้องใช้ iPhone โทร-เข้าออกอยู่ ก็ต้องเสียสละในส่วนของสัญญาณ Internet ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ (Cellular Data) เพราะถึงแม้จะใช้งาน Internet ไม่ได้ แต่ก็ยังต่ออายุให้ iPhone สามารถโทร-เข้าออกได้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Cellular Data = OFF
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/38691.html
คุณผู้อ่านเคยเจออาการแบบผู้เขียนบ้างไหมครับ คือเวลาที่ออกมาทำงาน หรือ เรียนหนังสือ เผลอเล่นเจ้า iPhone ซะเพลิน จนลืมคำนวนแบตเตอรี่ให้พอใช้ได้ตลอดทั้งวัน พอนึกขึ้นได้ ก็เจอกับไอค่อนแบบเตอรี่สีแดง พร้อมกับจำนวนของแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อยู่ข้างนอกบ้าน จะหาที่ชาร์ตก็เป็นได้ยากแน่ๆ ทีนี้ล่ะก็งานเข้ากันอย่างแน่นอน วันนี้เออาร์ไอพีเลยขอเสนอวิธีประหยัดแบบเตอรี่ยามฉุกเฉิน 10 วิธีด้วยกัน จะมีอะไรบ้างลองไปดูกันเลยครับ
1.ปิดการค้นหาสัญญาณ 3G
เพราะการเปิดการทำงานผ่านระบบ 3G ต้องใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าปกติ ทางที่ดีถ้าไม่ได้ใช้งาน หรือ ใช้งานที่ไม่ได้ต้องการความเร็วมากๆ ลองปิดระบบ 3G โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Enable 3G = OFF
2.ปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi
แม้จะไม่ได้ใช้สัญญาณ Wi-Fi อยู่ แต่ถ้าหากเปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi ไว้ โดยปกติแล้ว iPhone จะมีการค้นหาสัญญาณ Wi-Fi อยู่เป็นระยะ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เข้าไปปิดได้ที่ Setting > Wi-Fi = OFF
3.ปิด Personal Hotspot
ในหัวข้อนี้คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเจอบ้างไม่เจอบ้าง เนื่องจาก Personal Hotspot จะมีเพิ่มเข้ามาใน Firmware 4.3 ขึ้นไป ดังนั้นหากท่านใดที่เปิดไว้ แล้วไม่ได้ใช้งาน ควรปิดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ที่เคยต่อกับ iPhone ไว้แล้วมีการต่อสัญญาณไปยังอินเตอร์เน็ตโดยไม่รู้ตัว โดยเข้าไปที่ Setting > Personal Hotspot = OFF
4.เลือกเปิดเฉพาะ Noticfication ที่จำเป็น
การที่เครื่อง iPhone ต้องเช็คกับ Server ของทาง Apple เพื่อขึ้นข้อความ Noticfication ตลอดเวลา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดใหม่ ควรเลือกเปิดเฉพาะ Noticfication ที่จำเป็น หรือหากไม่ต้องการใช้จะปิดไปเลยก็ได้ โดยเข้าไปที่ Setting > Noticfications = OFF (หรือเลือกเปิด-ปิดเฉพาะ Application ที่ต้องการ)
5.ปิดการใช้ Location Service
Location Service คือการอ้างอิงตำแหน่งของเครื่อง ตามตำแหน่งดาวเทียม GPS หรือ Cell site ในกรณีที่เปิด Application ที่ต้องการร้องขอตำแหน่งของตัวเครื่อง แน่นอนว่าก็เป็นการเปลืองพลังงานแบตเตอรี่อีกเช่นกัน ในกรณีที่คุณไม่ต้องการใช้งานให้เข้าไปปิดได้ที่ Setting > Location Services = OFF (หรือเลือกเปิด-ปิดเฉพาะ Application ที่ต้องการ)
6.ปรับระดับความสว่างของจอให้พอเหมาะ
ปกติแล้วหน้าจอของ iPhone จะมีเซ็นเซอร์ที่คอยวัดแสงของสภาพแวดล้อม และปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม แต่ในกรณีที่แบตใกล้หมดจริงๆ การปิดโหมดการวัดแสง ก็ช่วยรักษาระดับพลังงานแบตเตอรี่ได้เช่นกัน โดยเข้าไปปรับได้ที่ Setting > Brightness > Auto-Brightness = OFF (แต่ควรปรับระดับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมด้วยตนเอง ซึ่งถ้าเป็นสว่างกว่าความจำเป็น ก็เป็นการเปลืองแบตเตอรี่อีกเช่นกัน)
7.ปรับรอบการเช็ค Push เมล์
ถ้าคุณผู้อ่านเปิดระบบ Fetch ไว้ (การแจ้งเตือน Email ใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน) ซึ่งจะมีรอบของการเช็คให้เลือก 15 นาที, 30 นาที และ Hourly ด้วยกัน ถ้าไม่ได้รอรับอีเมล์สำคัญจริงๆ ก็ควรเปลี่ยนระบบนี้ไปที่ Manually คือจะเช็คก็ต่อเมื่อมีการเปิด Application ของ Email เท่านั้น โดยเข้าไปที่ Setting > Mail, Contacts, Calendars > Fetch New Data > Fetch = Manually
8.ปิด Applicaiton ที่ค้างใน Multitask
แม้ว่าจะไม่ได้เปิด Application นั้นไว้แล้วก็ตาม แต่ถ้า App ใดที่สนับสนุนการทำงานแบบ Background ก็ย่อมทำให้เครื่องต้องรับภาระประมวลผลเพิ่มเช่นกัน จึงยิ่งทำให้ต้องศูนย์เสียพลังงานโดยปล่าวประโยชน์ ดังนั้นก็ควรปิด App ที่ไม่จำเป็นซะ โดยกดที่ปุ่มโฮมไวๆ 2 ครั้ง จากนั้นกดที่ไอค่อนข้างไว้ 2-3 วินาที และกดปุ่มเครื่องหมายลบ
9.ปิด Bluetooth
Bluetooth ของ iPhone นั้น เป็นแบบ Discoverable (สามารถมองเห็นจากเครื่องอื่นได้ตลอดเวลา) ดังนั้นย่อมใช้พลังงานในการส่งสัญญาณออกไปตลอดเวลา จึงควรปิดเมื่อไม่ต้องการใช้ โดยเข้าไปที่ Setting > General > Bluetooth = OFF
10.ไม้ตายสุดท้าย ปิดสัญญาณ Cellular Data
ถ้าหากฉุกเฉิน ถึงขั้นที่แบตใกล้หมดเต็มที แต่ยังจำเป็นต้องใช้ iPhone โทร-เข้าออกอยู่ ก็ต้องเสียสละในส่วนของสัญญาณ Internet ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ (Cellular Data) เพราะถึงแม้จะใช้งาน Internet ไม่ได้ แต่ก็ยังต่ออายุให้ iPhone สามารถโทร-เข้าออกได้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Cellular Data = OFF
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/38691.html
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ทำความรู้จัก "ทิม คุ๊ก" จากโนเนมสู่เบอร์หนึ่ง ซีอีโอแอปเปิลคนใหม่ผู้ก้าวพ้นเงา "สตีฟ จ็อบส์"
ถือเป็นข่าวช็อควงการครั้งใหญ่ในวงการไอทีของโลก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่เหนือความคาดหมายของใครหลายคน เมื่อสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานแอปเปิล ประกาศผ่านจดหมายลาออกว่าเขาขอยุติบทบาทซีอีโอ อันเนื่องมาจากปัญหาด้านสุขภาพ
จ็อบส์กล่าวในจดหมายแจ้งการลาออกว่า "ผมมักจะเคยกล่าวไว้เสมอว่า หากว่ามีวันที่ผมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่และสนองตอบความความคาดหวังในฐานะของซีอีโอของแอปเปิลได้อีก ผมจะเป็นคนแรกที่แจ้งให้ทุกคนได้ทราบ แต่โชคร้ายที่วันนั้นมาถึงแล้ว"
เป็นธรรมดาที่สาวกของเขาจะรู้สึกวิตกกังวลเป็นธรรมดา เนื่องจากจ็อบส์มีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้แอปเปิลก้าวขึ้นสู่บริษัทชั้นนำของโลก และชื่อสตีฟ จ็อบส์ กลายเป็นแบรนด์ที่รับประกันว่าลูกค้าจะไม่มีวันผิดหวังต่อสินค้าใหม่ๆที่ออกมาภายใต้ชื้อแอปเปิล
สตีฟ จ็อบส์ในวัยหนุ่ม
ในปี 1996 แอปเปิลได้ซื้อกิจการบริษัทเน็กซ์ คอมพิวเตอร์ด้วยราคา 402ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำจอบส์กลับมาสู่บริษัทที่เขาก่อตั้งเอาไว้ ในปีค.ศ. 1997 เขาได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง"ชั่วคราว"ของแอปเปิล ในช่วงที่กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำของแอปเปิล จ็อบส์เรียกชื่อตำแหน่งของเขาว่า "ไอซีอีโอ" (iCEO)
บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากด้วยการเปิดตัว ไอแมค (iMac) ตามมาด้วยการเปิดตัวไอพ็อด เครื่องเล่นดนตรีขนาดพกพา ไอโฟน และไอแพดในเวลาต่อมา จ็อบส์ทำงานที่บริษัทแอปเปิลเป็นเวลาหลายปีติดกันด้วยค่าจ้างรายปีเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เขาได้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกในกินเนสส์บุ๊คว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในโลก
"ทิม คุ๊ก" คือบุคคลที่จ็อบส์ไว้วางใจให้เป็นผู้กุมบังเหียน
เขาเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งถือเป็นฝ่ายที่ถือเป็นมันสมองและเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแอปเปิลให้อยู่ในจุดสูงสุด ณ ปัจจุบัน
เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทิม คุ๊ก คือใคร มาจากไหน หรือมีดีอย่างไร ถึงได้ดำรงตำแหน่งซีอีโอใหม่แอปเปิล ซึ่งเราจะนำทุกท่านไปรู้จัก Tim Cook กัน
ทิม คุ๊ก มีชื่อเต็มว่า ทิโมธี ดี. คุ๊ก (Timothy D. Cook) เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1960 ปัจจุบันอายุ 50 ปี เขาเติบโตที่เมืองโรเบิร์ตสเดล รัฐอลาบามา สหรัฐอเมริกา บิดาของเขาเป็นคนงานในอู่ต่อเรือ ขณะที่มารดาของเขาเป็นแม่บ้าน
คุ๊กจบการศึกษาปริญญาตรีสาขาวิศวอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยออเบิร์น ในปี 1982 และจบการศึกษาระดับปริญญาโท ในสาขาบริหารธุรกิจ จากฟูควา สคูล ออฟ บิสซิเนส มหาวิทยาลัยดุ๊ก ในปี 1988
ก่อนหน้าที่เขาจะมาร่วมงานกับแอปเปิล เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการในแผนกตัวแทนจำหน่าย ของบ.อินเทลลิเจนท์ อิเล็กทรอนิกส์ ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่าย Corporate Material ให้กับคอมแพค และรับผิดชอบในการจัดหาและจัดการด้านสินค้าคงคลังทั้งหมดของคอมแพค
ต่อมาจึงเข้าทำงานที่บริษัท ไอบีเอ็ม เป็นเวลานานถึง 12 ปี ในแผนกธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการปฏิบัติภารกิจภาคพื้นอเมริกาเหนือ
ก่อนที่จะถูกสตีฟ จ็อบส์ชวนมาทำงานที่แอปเปิล เมื่อเดือนมีนาคม 1998
โดยตำแหน่งแรกเมื่อเข้ามาทำงานที่แอปเปิลคือ รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ จนกระทั่งปี 2000 จึงดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสด้านปฏิบัติการทั่วโลก, การขาย,บริการ และการสนับสนุน ระหว่างปี 2002-2005 เขารับตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก, การขาย,บริการ และการสนับสนุน
และต่อมาในเดือนม.ค. 2007 ก็ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ(COO) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเคยดำรงตำแหน่งซีอีโอชั่วคราวแทน สตีฟ จ็อบส์ มาแล้วเป็นเวลา 2 เดือน ในปี 2004 ในระหว่างที่จ็อบส์เข้ารักษาตัวหลังการผ่าตัดมะเร็งตับอ่อน นอกจากนั้น คุ๊กยังถือเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทของไนกี้อีกด้วย
ต่อมาในปี 2009 เขาดำรงตำแหน่งซีอีโอชั่วคราวแทน สตีฟ จ็อบส์อีกครั้ง เป็นเวลาหลายเดือน ระหว่างที่จ็อบส์ยื่นใบลาพักงานชั่วคราวเพื่อรับการปลูกถ่ายตับ
ในเดือนมกราคม 2011 คณะกรรมการบริษัทแอปเปิล อนุมัติให้จ็อบส์พักงานอีกครั้งเพื่อรักษาอาการป่วย ในระหว่างนั้น คุ๊กมีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านปฏิบัติการทั้งหมดของแอปเปิล ขณะที่จ็อบส์ ในฐานะซีอีโอ รับผิดชอบในการตัดสินใจสำคัญต่างๆของบริษัท
ผลงานเด่นของคุ๊กที่ผ่านมาคือ การปฏิรูประบบการผลิตที่ไร้ประสิทธิภาพ ด้วยการจัดระบบการควบคุมสินค้าคงคลังใหม่ทั้งหมด เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่มีเกินกำลัง หลังจากปี 1997 แอปเปิลขาดทุนถึงหนึ่งพันล้านเหรียญ คุ๊กได้ทำการปิดโรงงานและคลังสินค้าหลายแห่ง ที่ดำเนินการแบบขาดทุน โดยเปลี่ยนไปจ้างโรงงานในเอเชียให้ผลิตและเก็บสินค้าเอง ส่งผลให้แอปเปิลมีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตสูง และมีกำไรขั้นต้นของสินค้าที่ดีขึ้นมาโดยตลอด
ทั้งนี้ คุ๊กได้เล่าถึงการตัดสินใจร่วมงานกับแอปเปิลเมื่อ 13 ปีก่อนอีกว่า ด้วยเวลาเพียงไม่ถึง 5 นาทีในการสัมภาษณ์งานกับจ็อบส์ ผมยอมเสี่ยง เขาอยากร่วมงานกับแอปเปิล แม้ว่าการทำงานกับแอปเปิลจะไม่เคยอยู่ในแผนชีวิตที่เขาเขียนไว้สมัยที่ยังเรียนปริญญาโทอยู่ก็ตาม
คุ๊กเชื่อในสัญชาตญาณของเขาว่า การร่วมงานกับแอปเปิลเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ที่จะได้ทำงานให้กับอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ อย่างสตีฟ จ็อบส์ และเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารที่สามารถฟื้นฟูบริษัทที่ดีที่สุดบริษัทหนึ่งของอเมริกา
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ จะมองเขาว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากแอปเปิลเองมี โจนาธาน ไอว์ รองประธานอาวุโสฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นผู้รับผิดชอบในงานสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่เขาเป็นผู้ที่มีความสุขกับการทำงานเบื้องหลังมากกว่าที่จะอยู่หน้าเวทีเหมือน จ็อบส์ ดังนั้น หน้าที่ของการแถลงข่าวหรือพบสื่อมวลชน สามารถให้ฟิล ชิลเลอร์ ซึ่งเป็นรองประธานฝ่ายการตลาดสามารถรับหน้าที่นั้นแทนได้
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย:
- ทิม คุ๊กยังไม่แต่งงาน และได้ชื่อว่าเป็นคนบ้างาน โดยทุกๆวัน เขาจะเริ่มส่งอีเมล์ฉบับแรกตอนตีสี่ครึ่ง และทุกคืนวันอาทิตย์เขาจะโทรศัพท์หาทีมงานเพื่อเตรียมงานในอาทิตย์ถัดไปเสมอ
- คุ๊ก เป็นคนชอบออกกำลังกาย อาทิ การปีนหน้าผา, ปั่นจักรยาน และเข้ายิมเพื่อออกกำลังกายเป็นประจำ เขาชื่นชอบแลนซ์ อาร์มสตรอง นักปั่นจักรยานชาวอเมริกันเป็นพิเศษ
-แม้ว่าเขาจะมีรายได้ต่อปีมากถึง 700,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21 ล้านบาท) เขาได้รับผลตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือนในการเป็นซีโอโอคือ เงินโบนัส 5 ล้านดอลลาร์ และสิทธิในการซื้อหุ้นอีก 52.3 ล้านดอลลาร์ แต่เขาก็ยังเช่าบ้านอยู่ในย่านพาโล อัลโต้ รัฐแคลิฟอร์เนีย
เสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับทิม คุ๊ก:
"ทิมคือผู้ขับเคลื่อนแอปเปิล และเขาก็ขับเคลื่อนแอปเปิลมานานแล้ว สตีฟคือหน้าตาของแอปเปิล และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ทิมคือบุคคลผู้รับผิดชอบด้านการออกแบบและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเงินจำนวนมหาศาล"
-ไมเคิล เจนส์ ผู้จัดการทั่วไปคนแรกของแอปเปิล ออนไลน์ สโตร์ จากนิตยสารไวร์ 41 ม.ค. 2009
"แม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ร่าเริงสนุกสนาน และมุขตลกของเขาอาจจะดูฝืดไปหน่อย แต่ใบหน้าของเขากลับดูเหมือนคนที่บึ้งตึงตลอดเวลา ในระหว่างที่มีการประชุม หลายคนทราบดีว่าเขาจะหยุดช่วงเวลาอันตึงเครียดได้ตอนไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาที่เขากำลังฉีกซองขนมที่เขามักจะพกไว้กับตัวเสมอ"
-นิตยสารฟอร์จูน ฉบับ 10 พฤศจิกายน 2008
"เขาเฉลียวฉลาดอย่างร้ายกาจ และไม่มีอีโก้ใหญ่โต"-จอห์น แลนด์ฟอร์ซ อดีตผู้บริหารเครือข่ายร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเคยร่วมงานกับคุ๊กบ่อยครั้ง, หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ฉบับวันที่ 16 ต.ค. 2006
"คุ๊กมีความเป็นผู้นำ เขาเป็นนักเรียนที่ดีมาก เป็นที่ชื่นชมของเพื่อร่วมชั้นเรียน เป็นคนที่มักจะเตรียมพร้อมเสมอ แข็งแกร่งแต่ยุติธรรม เราเชื่อว่าเขาจะต้องสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะทำนายว่าเขาอาจจะได้เป็นผู้นำของบริษัทชั้นนำระดับโลกก็ตาม"
-แบลร์ เชพเพิร์ต คณบดีฟูควา สคูล ออฟ บิสซิเนส มหาวิทยาลัยดุ๊ก, เว็บไซต์ The Street.com, 15 มกราคม 2009
อนาคตภายหน้าของแอปเปิลภายใต้เงาของทิม คุ๊ก จะออกมาเป็นหัวหรือก้อยคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไปพร้อมๆกับอาการป่วยของสตีฟ จ็อบส์ ตราบใดที่เขายังดำรงอยู่ในฐานะหนึ่งในตำนานของวงการคอมพิวเตอร์ของโลก
แอปเปิ้ลเตรียมออก"ไอโฟน 4" ความจุแค่ 8 กิ๊ก ชูราคาถูก เจาะตลาดล่าง เพิ่มยอดขาย
ภาพจาก zennewstoday.blogspot.com
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ว่า บริษัทแอปเปิ้ล ได้เริ่มการผลิตโทรศัพท์ไอโฟน 4 ขนาดหน่วยความจำ 8 กิกะไบต์ แล้ว ที่ฐานผลิตในประเทศเกาหลีใต้ และมีกำหนดจะวางจำหน่ายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ภายหลังจากที่แอปเปิลเคยวางจำหน่ายไอโฟน 4 เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมิ.ย. 2010 ซึ่งมีหน่วยความจำ 16 กิกะไบต์ และ 32 กิกะไบต์ โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า ไอโฟน 4 ขนาด 8 กิกะไบต์ สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นในตลาดเกิดใหม่ โดยแอปเปิ้ลอาจต้องการจะผลักดันตัวเองเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งผู้บริโภคต้องการจะเปลี่ยนการใช้โทรศัพท์มือถือจากระดับชั้นสูงเป็นระดับชั้นกลางและชั้นล่าง ทั้งนี้ สำหรับไอโฟน4 ขนาด 8 กิ๊กนึ้ จะมีราคาถูกกว่าไอโฟน4 รุ่นปกติ
ขณะเดียวกัน คาดว่า แอปเปิ้ลจะวางจำหน่ายไอโฟน 5 ในเดือนหน้า โดยไอโฟนรุ่นนี้ซึ่งจะมีรูปลักษณ์คล้ายไอโฟน 4 แต่มีหน้าจอสัมผัสใหญ่กว่า เสาคลื่นสัญญาณดีกว่า และมีกล้องใหญ่กว่า ในระดับ 8 ล้านพิกเซล โดยบริษัทผุู้ผลิตโทรศัพท์ไอโฟนรุ่นนี้ ถูกสั่งให้ผลิตโทรศัพท์ฯเป็นจำนวนมากกว่า 45 ล้านเครื่อง
ทั้งนี้ แอปเปิ้ลสามารถขายไอโฟนได้ในช่วงไตรมาสที่สองเป็นจำนวน 20.3 ล้านเครื่อง และกำลังมุ่งขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียเพื่อเพิ่มรายได้การจำหน่ายไอโฟนของแอปเปิ้ล
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554
"วอลล์ สตรีท เจอร์นัล"แย้ม แอปเปิลเตรียมผลิต"ไอแพด 3" ตุลาคมนี้
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์ สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่าบริษัทแอปเปิลจะกำลังทำงานร่วมกับบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์และโรงงานประกอบในเอเชียเพื่อทดลองผลิตไอแพด 3 ในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่แอปเปิลยังคงอยู่ในฐานะจ้าวตลาดคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต
แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า แอปเปิลได้สั่งซื้อส่วนประกอบต่างๆ อาทิ แผงควบคุมไฟฟ้าจอแสดงผล และชิพ สำหรับไอแพดรุ่นใหม่ที่คาดว่ามีกำหนดการเปิดตัวในช่วงต้นปี 2012 นี้
โดยสินค้าไอแพดรุ่นใหม่นี้ คาดกันว่าจำประกอบด้วยจอแสดงผลที่มีความคมชัดสูงขนาด 2048x1536 พิกเซล เมื่อเทียบกับ 1024x768 ของไอแพด 2 นอกจากนั้น ซัพพลายเออร์ยังได้จัดส่งชิ้นส่วนตัวอย่างสำหรับการผลิตเครื่องตัวอย่างมายังแอปเปิลแล้วเช่นกัน โดยซัพพลายเออร์กล่าวว่า แอปเปิลได้สั่งออร์เดอร์หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว
รายงานยังได้อ้างหนึ่งในบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ป้อนให้แอปเปิลกล่าวว่า บริษัทได้รับใบสั่งซื้อชิ้นส่วนเพื่อผลิตไอแพด 3 จำนวนประมาณ 1.5 ล้านชุด ในไตรมาส 4 ก่อนการเปิดตัวในต้นปี 2012
แอปเปิลสั่งซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ผลิตเครื่องไอแพดมาจากหลายแห่งทั่วเอเชีย และประกอบไอแพดที่โรงงานในไต้หวัน รายงานผลประกอบการของแอปเปิลเมื่อสิ้นสุดวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายไอแพดเมื่อไตรมาสที่แล้วมีจำนวน 9.25 ล้านเครื่อง หรือมากเป็น 3 เท่าของยอดขายปี 2010 ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของแอปเปิลพุ่งขึ้นสู่ 7.31 พันล้านเหรียญสหรัฐ
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
All in 1 คีย์บอร์ด..รวมทุกอย่างที่จำเป็นไว้ในนี้หมดแล้ว
ขอนำเสนอคีย์บอร์ดแนวคิดใหม่ ที่ภายนอกดูหรูหราด้วยวัสดุที่เป็นมันวาวเพราะทำด้วยกระจก ไม่มีปุ่มใดๆโผล่ขึ้นมารบกวนจิตใจ เพราะใช้ระบบทัชสกรีน ขนาดก็ไม่ใหญ่ไปกว่าขนาดของคีย์บอร์ดในปัจจุบัน แต่ที่พิเศษคือมันรวบรวมเอาทุกอย่างมาไว้ในนี้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น CD, DVD พอร์ตสำหรับ USB และ SD Slot สามารถฟังวิทยุและทำเป็นลำโพงได้ พร้อมลูกเล่นเก๋ๆคือมันสามารถเปลี่ยนสีได้ทุกสีตลอดเวลาที่เราต้องการอีก ด้วย…ว่าแต่หลังใช้คีย์บอร์ดอันนี้เสร็จรอยนิ้วมือคงเต็มเกลื่อนเลยทีเดียว ^ ^”
ขอบคุณ... veedvil
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อยู่ที่ไหนก็ช็อปปิ้งได้กับ “ร้านขายของเสมือนจริง”
ด้วยภาวะที่เร่งรีบในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้คนเกาหลีใต้สามารถช็อปปิ้งกันได้แม้ขณะรอรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเดินทางกลับบ้าน ด้วยผลงานร้านค้าแบบเสมือนจริงจาก Tesco Homeplus
จากภาพจะเห็นเป็นรูปสินค้าที่ถูกติดตั้งไว้ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน วิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่ายมีขั้นตอนดังนี้
จากภาพจะเห็นเป็นรูปสินค้าที่ถูกติดตั้งไว้ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน วิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่ายมีขั้นตอนดังนี้
1. ลูกค้าต้องการช็อปปิ้งสินค้าตัวไหน ก็เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code ที่ติดอยู่กับรูปสินค้าเท่านั้น
2. สินค้าก็จะถูกจัดเก็บในระบบตะกร้าสินค้าอัตโนมัติ
3. หลังจากที่คุณชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เมื่อคุณเดินทางกลับถึงบ้าน สินค้าที่คุณช็อปปิ้งก็จะถูกจัดส่งไปที่หน้าบ้านเลย
2. สินค้าก็จะถูกจัดเก็บในระบบตะกร้าสินค้าอัตโนมัติ
3. หลังจากที่คุณชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เมื่อคุณเดินทางกลับถึงบ้าน สินค้าที่คุณช็อปปิ้งก็จะถูกจัดส่งไปที่หน้าบ้านเลย
โอ้โหสุดยอดจริงๆ ไม่ต้องเข็นรถเข็นหรือหิ้วตะกร้ากันให้เมื่อยอีกต่อไป แต่ระบบนี้คงไม่ถูกใจสำหรับคนที่ชอบเดินเลือกสินค้าแบบ จับๆ ดมๆ ชิมๆ
ลองดูภาพและวีดีโอของเขาดูซิ
ขอบคุณ gotcyder
และ
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ใครสนใจอยากดื่มเบียร์ด้วยไอโฟน ฟังทางนี้!
ปัจจุบันนี้ คุณสามารถใช้ไอโฟนทำอะไรก็ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทรเข้า โทรออก จะส่งข้อความ ถ่ายรูป ท่องโลกไซเบอร์ และอีกสารพัด
แต่อีกไม่นานสาวกไอโฟนทั้งหลายก็จะสามารถเปิดขวดเบียร์ได้ด้วยเจ้าสมาร์ทโฟนเครื่องนี้แล้ว เมื่อผู้ประกอบการชาวออสเตรเลียสองคนได้คิดค้นปลอกใส่โทรศัพท์พลาสติกแบบแข็งที่สามารถใช้เปิดขวดเบียร์ได้
คริส ปีเตอร์ ผู้คิดค้นอุปกรณ์นี้ร่วมกับ ร็อบ วอร์ด บอกว่าด้วยความที่ชาวออสเตรเลียเป็นนักดื่ม (และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก) และการไปดื่มในโอกาสพิเศษที่บ้านเพื่อน บางครั้งคุณอาจหาที่เปิดขวดไม่เจอ พวกเขาเลยคิดว่าในเมื่อทุกคนมีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว ทำไมจึงไม่ทำให้โทรศัพท์นั้นใช้เปิดขวดได้ด้วยเสียเลย
คริส ปีเตอร์ ผู้คิดค้นอุปกรณ์นี้ร่วมกับ ร็อบ วอร์ด บอกว่าด้วยความที่ชาวออสเตรเลียเป็นนักดื่ม (และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก) และการไปดื่มในโอกาสพิเศษที่บ้านเพื่อน บางครั้งคุณอาจหาที่เปิดขวดไม่เจอ พวกเขาเลยคิดว่าในเมื่อทุกคนมีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว ทำไมจึงไม่ทำให้โทรศัพท์นั้นใช้เปิดขวดได้ด้วยเสียเลย
ทั้งปีเตอร์และวอร์ดจึงใช้หลักการง่ายๆ 3 ข้อ ในการประดิษฐ์เคสใส่ไอโฟนที่ใช้เปิดขวดยี่ห้อ Opena คือ ตัวปลอกหรือเคสต้องบาง, ตรงส่วนที่ใช้เปิดขวดต้องไม่เผลอไปขูดตัวเครื่องโทรศัพท์ และข้อสุดท้ายคือส่วนที่เปิดขวดต้องไม่มีแรงกดกันไปทับตัวเครื่องในขณะที่ใช้เปิดขวด
การทดลองใช้รวมไปถึงกรณีที่แย่ที่สุดที่ฟองเบียอาจจะพุ่งหลังจากเปิดแล้ว
นอกเหนือจากการขัดข้องทางเทคนิคบางประการที่เกิดกับตัวต้นแบบทดลองแล้ว การพัฒนาเจ้าอุปกรณ์ที่ว่าก็เป็นไปได้ด้วยดี อีกทั้งการเริ่มหยั่งเชิงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ก็ดูท่าจะไปได้สวย จนทำให้ต้องเปิดตัววางขายผลิตภัณฑ์ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์
ทั้งคู่เล่าว่าถึงแม้จะมีคนฝากข้อความไว้บนหน้าเฟซบุ๊คของเขาทั้งสองว่าที่เปิดขวดเบียด้วยปลอกไอโฟนจะไปรอดเหรอ แต่ส่วนมากเสียงตอบรับก็เป็นไปในทางบวก บางคนชอบมากถึงกับบอกว่า "ผลสุดท้าย เราก็สามารถรวมความรักที่มีต่อการดื่มและเทคโนโลยีเข้าด้วยกันจนได้"
การทดลองใช้รวมไปถึงกรณีที่แย่ที่สุดที่ฟองเบียอาจจะพุ่งหลังจากเปิดแล้ว
นอกเหนือจากการขัดข้องทางเทคนิคบางประการที่เกิดกับตัวต้นแบบทดลองแล้ว การพัฒนาเจ้าอุปกรณ์ที่ว่าก็เป็นไปได้ด้วยดี อีกทั้งการเริ่มหยั่งเชิงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ก็ดูท่าจะไปได้สวย จนทำให้ต้องเปิดตัววางขายผลิตภัณฑ์ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์
ทั้งคู่เล่าว่าถึงแม้จะมีคนฝากข้อความไว้บนหน้าเฟซบุ๊คของเขาทั้งสองว่าที่เปิดขวดเบียด้วยปลอกไอโฟนจะไปรอดเหรอ แต่ส่วนมากเสียงตอบรับก็เป็นไปในทางบวก บางคนชอบมากถึงกับบอกว่า "ผลสุดท้าย เราก็สามารถรวมความรักที่มีต่อการดื่มและเทคโนโลยีเข้าด้วยกันจนได้"
"เฟซบุ๊ค" จับมือ"สไกป์" เปิดตัวบริการใหม่ "วีดิโอ คอลลิ่ง" พร้อมใช้งานแล้ว
"เฟซบุ๊ค" จับมือ"สไกป์" เปิดตัวบริการใหม่ "วีดิโอ คอลลิ่ง" พร้อมใช้งานแล้ว
เฟซบุ๊คเดินหน้าไปอีกขั้น หลังจากที่คู่แข่งอย่างกูเกิลได้เปิดตัวเว็บไซต์สังคมออนไลน์ "กูเกิล พลัส" ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยล่าสุดก็ได้มีเปิดใช้งานในบริการ "วีดิโอ คอลลิ่ง" หรือการพูดคุยกันแบบเห็นหน้าแล้ว
นับได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ต่อเนื่องหลังจากที่ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊ค ได้เปิดให้มีการใช้งานระบบแช็ต (Chat) ขึ้นมา จากนั้น 1 ปีต่อมาจึงได้มีการพัฒนาต่อยอด โดยครั้งนี้เฟซบุ๊ค ได้ทำการพัฒนาโดยร่วมมือกับ "สไกป์" (Skype) นำฟังก์ชันการคุยแบบวิดีโอ คอลลิ่ง เข้ามาเพิ่มสีสันในการพูดคุยอีกครั้ง
โดยฟังก์ชันวีดิโอ คอลลิ่งนี้ถูกพัฒนาให้รองรับถึง 70 ภาษา และยังสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงคลิ๊กเลือกที่ปุ่มไอคอนรูปวีดีโอที่เมนู บาร์ ของชื่อเพื่อนแต่ละคน ก็สามารถเริ่มทำการสนทนาผ่านระบบวีดิโอ คอลลิ่ง ได้แล้ว แต่หากใครเริ่มใช้งานเป็นครั้งแรกจะมีคำแนะนำให้ทำการดาวน์โหลดและติดตั้งพลั๊กอิน ก่อนใช้อีกด้วยอย่างไรก็ดี
ระบบการสนทนาแบบใหม่นี้ ผู้ใช้ยังคงทำการพูดคุยได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบเดียวกับบริการกูเกิล พลัส
นอกจากนั้นเฟซบุ๊คยังเพิ่มทางเลือกในการพูดคุยแบบกลุ่ม โดยขณะที่ผู้ใช้กำลังพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาสามารถกดปุ่มไอคอนเพื่อเพิ่มเพื่อนเข้ามาในการสนทนาได้อีกด้วย
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเปิดบริการใหม่ว่า บริษัทกำลังดำเนินการเปิดตัวบริการใหม่ๆของปี 2011 เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซัคเคอร์เบิร์กเปิดเผยว่า ในขณะนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊คทั่วโลกมีจำนวนทั้งสิ้น 750 ล้านรายแล้ว ทั้งนี้ เฟซบุ๊คจะให้ความสนใจต่อการแบ่งปันสิ่งต่างๆของผู้ใช้ในเครือข่ายมากขึ้น ทั้งการอัพโหลดรูปภาพ อัพเดทสถานะ และลิงค์ต่างๆ ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่าฐานข้อมูลผู้ใช้รายเดือน หรือราว 4 พันล้านครั้งต่อวัน
ที่มา :
10 เหตุผลดีๆที่คุณควรซื้อ iPad 2 ไว้ใช้งานซักเครื่อง!
รอคอยกันไม่นานอย่างที่คิดเหมือนเมื่อครั้งที่ iPad รุ่นแรกเปิดตัวในบ้านเรา ในที่สุดก็ได้เวลาที่ชาวไทยทั้งหลายจะได้สัมผัสกับiPad 2 ภาคต่อสุดอลังการของว่า ที่แทบเลตแห่งปีกันเสียที โดยในวันศุกร์นี้ (6 พฤษภาคม, 11.00 น. เป็นต้นไป) ก็จะเป็นวันเริ่มวางจำหน่ายไอแพด 2 อย่างเป็นทางการผ่าน ทางร้าน Power Buy รวมถึง iStudio และ Apple Shop ใน Power Mall, BananaIT, IT City และตัวแทนจำหน่ายอื่นๆสิริรวมแล้วเกือบ 40 สาขาเลยทีเดียว
ซึ่งงานนี้ก็มีเพื่อนๆหลายคนเข้ามาสอบถามกับทาง TechXcite ของเราว่าจะซื้อไอแพด 2 มาใช้งานกันดีไหมเพราะบางส่วนนั้นก็เป็นแฟน Apple และมี iPad รุ่น แรกใช้งานกันอยู่แล้วเลยไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อใหม่ ขณะที่ในส่วนของผู้ใช้งานแทบเลตหน้าใหม่ๆทั้งหลายก็ยังเกิดอาการรักพี่ เสียดายน้องว่าจะเลือกซื้ออะไรระหว่าง iPad 2 กับมหึมากองทัพสินค้าแทบเลตแอนดรอยด์ที่ทยอยกันออกมาถี่ยิ่งกว่าดอกเห็ดเสียอีกในเวลานี้
ว่าแล้วทีมงาน TechXcite ก็ เลยอยากจะขอตอบคำถามของทุกท่านด้วยการรวบรวมเหตุผลดีๆซัก 10 ข้อที่คุณๆทั้งหลายควรจะรีบลางานหรืออะไรก็ตามแต่ออกไป จับจองเป็นเจ้าของ iPad 2 กันให้ว่องไวในวันศุกร์นี้ (อันที่จริงมีหลายร้อยเหตุผลแต่กลัวอีกแพลตฟอร์มหนึ่งจะงอนตูดบิดไปเสียก่อน XD) ลองมาติดตามกันดู ว่า iPad 2 นั้นมันมีดีและแตกต่างจากแทบเลตของคู่แข่งเจ้าอื่นอย่างไรและทำไมใครๆเขาถึงอยากจะได้ไว้เชยชมกันซักเครื่อง!
1. iPad 2 บางกว่าเดิม, เบากว่า iPad รุ่นแรกคนละชั้น
iPad 2
แม้ว่า iPad รุ่นแรกเองจะเคยเขย่าวงการแทบเลตมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยความบางเฉียบชนิดสะท้านสายตาผู้ใช้งาน ทว่ากับการหวนคืนสู่สังเวียนอีกครั้งของไอแพด 2
กับ ขนาดที่บางลงกว่าเดิมถึง 33 เปอร์เซนต์เหลือเพียง 8.8 มิลลิเมตรขณะที่น้ำหนักก็เบาลงเหลือแค่เพียง 600 กรัมนิดๆก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า iPad 2 นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นแทบเลตที่มีขนาดบางเบาที่สุดในโลกเวลานี้ไปแล้ว
ทั้งที่จะว่าไปแล้วตัวเครื่องไอแพด 2 เอง ก็ยังสามารถรักษาขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วของตัวเองเอาไว้ได้เหมือนเดิมโดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปตามกระแสกับการทำ หลายรุ่นหน้าจออย่าง 6,7,8,9 หรือ 10 นิ้วให้ผู้ใช้งานทั้งหลายต้องมึนตึ้บเหมือนบางค่ายเสียด้วยซ้ำ
iPad 2
ซึ่งด้วยความบางเฉียบดังที่ได้กล่าวมานั้นจะส่งผลลัพธ์กับประสบการณ์การใช้งาน iPad 2 ของ ลูกค้าทั่วไปโดยตรงอย่างเช่นการถือแทบเลตอ่านหนังสือ e-book หรือการเล่นเกมส์แบบใช้แทบเลตเป็นคอนโทรลเลอร์ (เช่นเกมส์แข่งรถ) ก็สามารถทำได้ยาวนานขึ้นโดยผู้ใช้ไอแพด 2 ไม่รู้สึกเมื่อยล้าไปเสียก่อน
2. เพิ่มความสนุกให้ชีวิตกับกล้องหน้า-หลังของ iPad 2
iPad รุ่น แรกนั้นแม้จะเข้าขั้นอุปกรณ์ชั้นเทพเพียงใดแต่ก็ยังมีข้อให้ต้องตำหนิอยู่ เล็กน้อยกับการที่ตัวเครื่องแทบเลตไม่ได้ติดตั้งกล้องมาให้ด้วยทั้งที่จะว่า ไปแล้วก็เป็นฟังก์ชั่นพื้นฐานสุดๆชนิดที่ว่าแทบเลตจีนไก่กาแค่ไหนก็ยังมีให้ ด้วยทุกเครื่อง และหลังจากที่สาวก Apple ทั้งหลายเรียกร้องกันอยู่นานในที่สุด Steve Jobs และพลพรรคก็ได้จัดการนำคุณสมบัติกล้องหน้า-กล้องหลังมาใส่ไว้ให้กับ iPad 2 กันสมใจอยากเรียบร้อยแล้ว
ซึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกล้องความละเอียดสูงเหมือนอย่างแทบเลตแอนดรอยด์ในเวลานี้ ก็ตาม (มาตรฐานทั่วไปที่กล้องหน้า 2MP กล้องหลัง 5MP) แต่ตัวไอแพด 2 นั้น ก็จะชดเชยให้กับทุกท่านด้วยความสามารถในการบันทึกวิดีโอ HD 720p, วิดีโอคอลผ่าน FaceTime และโปรแกรมเอฟเฟกต์ภาพฮาๆในเครื่องอย่าง Photo Booth (และใน App Store อีกล้านแปด) ด้วยซึ่งจะทำให้คุณไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิดกับการใช้งานกล้องบนไอแพด 2
3. iPad 2 ใช้งาน FaceTime ได้เสียที
FaceTime for iPad 2ในเมื่อมีกล้องหน้า-หลังติดตั้งมาให้ด้วย ไอ้ครั้นจะไม่ใส่ฟีเจอร์นี้มาให้ในไอแพด 2 ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกอยู่พอสมควรทีเดียวสำหรับแอพพลิเคชัน FaceTime หรือโปรแกรมวิดีโอคอลผ่าน Wi-Fi อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Apple ซึ่งเริ่มใช้งานกันไปตั้งแต่ iPhone 4 เป็นต้นมา
ซึ่งแน่นอนว่าการใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวบนสมาร์ตโฟนจอเล็กๆนั้นยังไงเสียก็ไม่น่าที่จะสู้การใช้งาน FaceTimeชนิดเต็มรูปแบบบน iPad 2 ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ยักษ์และพื้นที่สำหรับการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปได้แน่
ที นี้แหละไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนคุณก็จะได้สนุกไปกับการแชตกันแบบเห็นหน้าค่าตากับ เพื่อนสนิทมิตรสหายหรือสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ห่างไกลกันครบทุกแพลตฟอร์ม ของ Apple อย่างแท้จริงทั้งในฝั่งของตระกูลเครื่อง Mac, iPhone 4, iPod Touch 4G และล่าสุดกับ iPad 2 ด้วย
4. อัพเกรดความมันส์ด้วยซีพียู A5 แบบ Dual Core ตัวใหม่
ใครว่า iPad ตัวแรกสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วแล้วรับรองได้ว่าคุณต้องอึ้งทึ่งเสียวกันไปตามๆกันกับ iPad 2ที่มีการปรับสเปคภายในเครื่องให้มีความเร็วแรงโดนใจผู้ใช้งานโปรแกรมหนักๆหรือเกมส์กราฟฟิกสูงๆได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น
โดยในไอแพด 2 นั้น Apple ได้จัดการเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลภายในเครื่องจากเดิมที่ใช้งานซีพียู Single Core จากยุคแต่เก่าก่อนหันมาใช้งานชิปเซ็ต A5 แบบ Dual Core ตัวเดียวกับใน iPhone 4 ซึ่งจะช่วยให้ความเร็วในการประมวลผลภายในเครื่องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตามไปด้วย
ยิ่ง เมื่อบวกเข้ากับความจุ RAM ที่เพิ่มมากขึ้นเป็น 512MB ด้วยแล้วก็รับประกันได้เลยว่าคุณจะพบกับประสบการณ์การท่องเว็บที่ลื่นไหล ยิ่งขึ้น, ระบบ Multi-tasking ที่มีความสมบูรณ์แบบกว่าเดิมรวมถึงความสามารถในการรองรับเกมส์กราฟฟิกสูง เทียบเท่า PC (แบบเดียวกับ Infinity Blade) ที่กำลังจะมีทยอยตามมาอีกเป็นขบวนต่อไปในอนาคต
5. 3 แอพใหม่จาก Apple ทั้ง Photo Booth, Garageband และ iMovie
Photo Booth for iPad 2สำหรับแอพพลิเคชันใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยทาง Apple เองเพื่อใช้งานกับ iPad 2 โดยเฉพาะนั้นต้องบอกว่ายิ่งช่วยตอกย้ำภาพความต้องการของพวกเขาที่
จะทำให้ไอแพด 2 กลายเป็นแทบเลตที่ตอบสนองความต้องการด้านความบันเทิงของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นกว่า iPad รุ่นแรก ด้วยแอพพลิเคชันเอฟเฟกต์ภาพ Photo
Booth ที่มีติดตั้งมาให้ภายในเครื่องเลยซึ่งจะเพิ่มลูกเล่นการถ่ายรูปผ่านกล้องของไอแพด 2 ไม่ให้รู้สึกน่าเบื่อจนเกินไป
Garageband for iPad 2
iMovie for iPad 2
ขณะที่อีก 2 แอพพลิเคชันที่คุณสามารถซื้อหากันได้ง่ายๆบน App Store ทั้ง Garageband ที่จะเปลี่ยนแทบเลตในมือท่านให้กลายเป็นสตูดิโอเพลงขนาดย่อมๆพร้อมเครื่องดนตรีครบวงและ iMovie โปรแกรม สำหรับตัดต่อวิดีโอที่คุณถ่ายมากันได้แบบมืออาชีพซึ่งมีคุณสมบัติแทบไม่ต่าง จากบนเวอร์ชันเครื่อง Mac ต่างก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการใช้งานไอแพด 2 ให้คุณได้มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
6. แอพพลิเคชันรองรับ iPad 2 ใน App Store กว่า 65,000 รายการ
แม้ ว่าแทบเลตแอนดรอยด์นั้นจะนิยมการชูจุดขายของตัวเองอย่างคุณสมบัติด้าน ฮาร์ดแวร์ออกมาเป็นจุดขายเสมอๆ ทว่าจุดที่พวกเขายังไม่อาจทำได้เทียบเท่ากับ
ในฝั่ง iOS ของ Apple ก็ คือปริมาณและคุณภาพของแอพพลิเคชันที่มีให้ใช้งานนั่นเอง ซึ่งในขณะที่แทบเลต Android 3.0 Honeycomb มีแอพพลิเคชันที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานบนแทบเลตโดยเฉพาะอยู่เพียงไม่ กี่ 100 รายการเท่านั้น
ส่วนแอพพลิเคชันสำหรับ iPad 2 นั้น มีให้เลือกทั้งซื้อหาหรือดาวน์โหลดกันได้แบบฟรีๆบน App Store เวลานี้กว่า 65,000 รายการแล้วและสามารถตอบสนองการใช้งานแทบเลตในยทุกรูปแบบ ยิ่งเมื่อบวกเข้ากับแอพสำหรับ iPhone ที่ก็สามารถใช้งานบน iPad 2 ได้เช่นกันตัวเลขก็จะยิ่งทะยานไปถึง 300,000+ รายการทีเดียว
ขณะเดียวกันระบบการอนุมัติแอพพลิเคชันที่ค่อนข้างเข้มงวดของ Apple ก็ ช่วยรับรองได้ว่าคุณจะไม่เจอแต่แอพกากๆที่ไม่มีประโขชน์ในการใช้งานหรือแอ พที่แฝงตัวมาเป็นมัลแวร์สิงอยู่ในแทบเลตของคุณเหมือนอย่างใน Marketplace ของแอนดรอยด์อย่างแน่นอน
7. ทางเลือกใหม่แจ่มๆกับ iPad 2 รุ่นสีขาว
ถ้าเราจะบอกว่าหากไม่มี iPad 2 สี ขาวออกมา เราก็อาจไม่ได้เห็น iPhone 4 สีขาวตามมาด้วยก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะหลังจากที่ iPhone 4 สีขาวต้องประสบปัญหาโน่นนี่ตลอดเวลาจนเกือบไม่ได้ผลิตออกมา ทว่า Steve Jobs ก็สามารถผ่าทางตันออกมาได้และเลือกที่จะนำเทคนิคในการผลิตดังกล่าวมาใช้งาน กับ iPad 2
ก่อนเป็นที่แรก
ซึ่ง ผลลัพธ์นั้นก็ไปได้สวยตามที่คาดการณ์กันเอาไว้แถมยังช่วยเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ ให้กับคนที่อยากใช้งานแทบเลตสีขาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสุภาพสตรีทั้งหลายที่ น่าจะหลงใหลได้ปลื้มกับไอแพด 2 สี ขาวตัวเล็กพกพาง่ายอย่างนี้กันได้แบบไม่ยากเย็นนัก (ปล. นอกจากนี้ยังมีผลวิจัยเคยออกมาชี้ว่าผู้ชายที่ใช้งาน iDevice สีขาวนั้นจะยิ่งช่วยเสริมความเซ็กซี่ของท่านในสายตาหญิงให้เพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยนะเออ)
8. อุปกรณ์เสริม iPad 2 มีลูกเล่นน่าสนใจให้ต้องตะลึง
Smart Cover for iPad 2
ความพิเศษอย่างหนึ่งของ Apple ก็ คือว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาๆให้กลายเป็นแก็ดเจ็ตเทพได้ด้วย เวทมนตร์อะไรซักอย่างที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกับอุปกรณ์เสริม ของไอแพด 2 ที่ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ตัวเครื่องแทบเลตพระเอกของเราแม้แต่น้อย โดยจุดขายหลักในคราวนี้มีด้วยกัน 2 ตัวนั่นก็คือ Smart Cover หรือ เคสฝาหน้าที่ใช้งานคลิปแม่เหล็กในตัวในการยึดติดกับตัวเครื่องซึ่งสามารถพับ กลับมาเป็นแสตนด์สำหรับพิมพ์งานหรือตั้งชมภาพยนตร์ได้และยังทำหน้าที่ เปิด/ปิดเครื่องโดยอัตโนมัติเมื่อคุณแง้มฝาขึ้นมาอีกด้วย
HDMI-Out cord for iPad 2
ขณะเดียวกัน HDMI-Out Cord ก็เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งาน iPad 2 สามารถ เชื่อมต่อการแสดงผลบนหน้าจอแทบเลตของตัวเองออกไปรับชมกันบนจอใหญ่ๆของ HDTV ได้แบบง่ายดาย ซึ่งน่าจะถูกอกถูกใจคนที่ชอบดูหนังหรืออยากจะเล่นเกมส์บนไอแพด 2ให้มันเต็มอิ่มบนจอใหญ่ๆเหมือนเครื่องคอนโซล (Infinity Blade, Real Racing 2 HD หรือแม้กระทั่ง Angry Birds) เป็นอย่างยิ่ง
9. สเปคอย่างเทพแต่ iPad 2 ยังใจดีขายราคาเท่าเดิม
นับ เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแทบเลตซักเครื่องของ ผู้บริโภคในยุคนี้ไม่น้อยหน้าสเปคหรือดีไซน์เลยแม้แต่น้อย ยิ่งในช่วงนี้ที่ไม่ว่าอะไรก็จะคอยแต่จ้องจะขึ้นราคากันอยู่ท่าเดียวแบบนี้ ทว่า iPad 2 ของเรากลับทำในทางตรงข้ามกับคู่แข่งบนแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ทั้งหลายด้วยการตรึงราคา จำหน่ายของไอแพด 2 ให้อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อครั้งที่ iPad รุ่นแรกออกเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียเลย
iPad 2 W-Fi
16GB ราคา 15,900 บาท
32GB ราคา 18,900 บาท
64GB ราคา 21,900 บาท
iPad 2 Wi-Fi + 3G
16GB ราคา 19,900 บาท
32GB ราคา 22,900 บาท
64GB ราคา 25,900 บาท
ใน ขณะที่แทบเลตแอนดรอยด์สเปคเทพทั้งหลาย (แบบที่เขาชอบเรียกตัวเองกัน) มีราคาเริ่มต้นก็ปาเข้าไปที่ 20,000+ แล้วสำหรับรุ่นที่ถูกที่สุด นอกจากนี้หากมองในแง่ของพ่อค้าหัวใสแล้วราคาของ iPad 2 นั้น รับประกันได้ว่าหากนำไปจำหน่ายเป็นของมือสองแล้วก็จะไม่ลดลงไปแบบฮวบฮาบๆ ชนิดซื้อมาเดือนสองเดือนก็ลดไปเกือบครึ่งแบบโละล้างสต็อคเหมือนอย่างคู่แข่ง แน่ๆอีกด้วย
10. iPad 2 ยังคงความเป็นสุดยอดเหนือแทบเลตค่ายอื่น
แม้ว่าจะมีความพยายามในหลายครั้งหลายคราจากทางฝั่งแทบเลตแอนดรอยด์ในการโค่นล้มความเป็นที่สุดของ iPad 2 ใน หลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณ สมบัติด้านสเปคภายในเครื่อง, หน้าตาอินเตอร์เฟซสุดอลังการ, รองรับการใช้งานวิดีโอแบบ Flash หรือแม้กระทั่งกับอีแค่ความบางของเครื่องต่างกันเพียง 0.1 มิลลิเมตรก็ยังเคยพยายามอวดอ้างกันมาแล้ว
ซึ่งไม่ว่าหน้าไหนก็ยังไม่อาจเอาชนะ iPad 2 ของเราไปได้เลยแม้แต่น้อยเพราะนี่คือแทบเลตของบริษัท Appleภาย ใต้หัวเรือใหญ่อย่าง Steve Jobs ที่ถือคติในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซักตัวว่ายังไงเสียประสบการณ์การใช้งานของผู้ บริโภคนั้นย่อมมาก่อนคุณสมบัติด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าฟีเจอร์และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆของไอแพด 2 นั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองผู้ใช้งานเป็นสำคัญแม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่เชื่อลองไปถามผู้บริหารของบริษัทคู่แข่งเหล่านี้ได้เลยว่าพวกเขาใช้ แทบเลตอะไรกันอยู่
สุดท้ายนี้ยังไงเสียต่อให้มีเหตุผลซักร้อยพันข้อก็ไม่เท่ากับการได้ไปลองพิสูจน์ของจริงกันว่าไอแพด 2 จะดีจริงอย่างที่เราชักแม่น้ำทั้งห้าสาธยายเอาไว้หรือไม่ ว่าแต่คุณละมี iPad 2 ใช้งานกันแล้วหรือยัง?
iPad 2 W-Fi
16GB ราคา 15,900 บาท
32GB ราคา 18,900 บาท
64GB ราคา 21,900 บาท
iPad 2 Wi-Fi + 3G
16GB ราคา 19,900 บาท
32GB ราคา 22,900 บาท
64GB ราคา 25,900 บาท
ใน ขณะที่แทบเลตแอนดรอยด์สเปคเทพทั้งหลาย (แบบที่เขาชอบเรียกตัวเองกัน) มีราคาเริ่มต้นก็ปาเข้าไปที่ 20,000+ แล้วสำหรับรุ่นที่ถูกที่สุด นอกจากนี้หากมองในแง่ของพ่อค้าหัวใสแล้วราคาของ iPad 2 นั้น รับประกันได้ว่าหากนำไปจำหน่ายเป็นของมือสองแล้วก็จะไม่ลดลงไปแบบฮวบฮาบๆ ชนิดซื้อมาเดือนสองเดือนก็ลดไปเกือบครึ่งแบบโละล้างสต็อคเหมือนอย่างคู่แข่ง แน่ๆอีกด้วย
10. iPad 2 ยังคงความเป็นสุดยอดเหนือแทบเลตค่ายอื่น
แม้ว่าจะมีความพยายามในหลายครั้งหลายคราจากทางฝั่งแทบเลตแอนดรอยด์ในการโค่นล้มความเป็นที่สุดของ iPad 2 ใน หลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณ สมบัติด้านสเปคภายในเครื่อง, หน้าตาอินเตอร์เฟซสุดอลังการ, รองรับการใช้งานวิดีโอแบบ Flash หรือแม้กระทั่งกับอีแค่ความบางของเครื่องต่างกันเพียง 0.1 มิลลิเมตรก็ยังเคยพยายามอวดอ้างกันมาแล้ว
ซึ่งไม่ว่าหน้าไหนก็ยังไม่อาจเอาชนะ iPad 2 ของเราไปได้เลยแม้แต่น้อยเพราะนี่คือแทบเลตของบริษัท Appleภาย ใต้หัวเรือใหญ่อย่าง Steve Jobs ที่ถือคติในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซักตัวว่ายังไงเสียประสบการณ์การใช้งานของผู้ บริโภคนั้นย่อมมาก่อนคุณสมบัติด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าฟีเจอร์และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆของไอแพด 2 นั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองผู้ใช้งานเป็นสำคัญแม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่เชื่อลองไปถามผู้บริหารของบริษัทคู่แข่งเหล่านี้ได้เลยว่าพวกเขาใช้ แทบเลตอะไรกันอยู่
สุดท้ายนี้ยังไงเสียต่อให้มีเหตุผลซักร้อยพันข้อก็ไม่เท่ากับการได้ไปลองพิสูจน์ของจริงกันว่าไอแพด 2 จะดีจริงอย่างที่เราชักแม่น้ำทั้งห้าสาธยายเอาไว้หรือไม่ ว่าแต่คุณละมี iPad 2 ใช้งานกันแล้วหรือยัง?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)